Bangkok Time != Thailand Time
หัวข้อข้างบน เราตั้งใจจะเขียนให้อ่านว่า Bangkok Time ไม่เท่ากับ Thailand Time (ความที่มันไม่รู้จะเขียนเครื่องหมาย “ไม่เท่ากับ” ยังไงดี เลยไปยืมมาจากภาษา Programming แต่อย่าถามนะว่ามันเป็นภาษาอะไร เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นเขาใช้ก็จำๆเขามา ความรู้ไม่เคยมีเลย เรียนไปก็เสียเงินเสียเวลาจริงๆ -_-" ) คือเรารู้สึกว่าทุกๆวันนี้ กรุงเทพฯมันกลายเป็นศูนย์กลางของประเทศไทยมากเสียจนบางทีเราลืมๆกันไปว่า ยังมีคนอีกประมาณเกือบห้าสิบล้านคนอยู่นอกกรุงเทพฯที่เป็นคนไทยเหมือนกัน และคนเกือบห้าสิบล้านคนที่ว่านั้นเขาไม่เหมือนคนกรุงเทพฯเสียทีเดียว ดูอย่างเรื่อง"เวลา"ก็ได้

คนชอบพูดว่า “คนไทยไม่ค่อยรักษาเวลา” นัดแล้วก็มาสาย เราอยากจะแก้เป็นว่า “คนกรุงเทพฯไม่รักษาเวลา” มากกว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่การจราจรในกรุงเทพฯแย่มากๆ จนกระทั่งจะเดินทางจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางกันถึงสามสี่ชั่วโมง คนไปไม่ทันนัดเพราะรถติด กลายเป็นรับสภาพว่าเขามาไม่ทันจริงๆ แทนที่จะคิดว่า ก็รู้ๆกันอยู่เป็น Fact ว่ารถติด ระยะเวลาใกล้ๆ ก็ใช้เวลาเดินทางนาน แล้วทำไมไม่เผื่อเวลาเดินทางให้พอ หรือขอเลื่อนเวลานัดออกไป ดันไปรับนัดเขาแล้วก็มาไม่ทัน

พอเศรษฐกิจตกต่ำ ฟองสบู่แตกโพละไปเมื่อปี ๔๐-๔๑ รถเกือบครึ่งหนึ่งหายจากท้องถนนในกรุงเทพฯไปอยู่ตามเต็นท์ขายรถเก่า เนื่องจากเจ้าของตกงานหรือโดนลดเงินเดือน ไม่มีเงินผ่อนรถเลยโดนไฟแนนซ์ยึด การจราจรในกรุงเทพฯก็ดีขึ้น แต่คนก็ยังเคยชินที่จะเอาการจราจรมาเป็นข้ออ้างเวลามาสาย (ตัวเราเองก็ยังใช้อยู่บ่อยๆ) แล้วคนก็ไม่ค่อยสนใจให้ความสำคัญอะไรกับเวลานัดหมายสักเท่าไร เวลานัดสามารถบวกลบได้ถึงครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้สึกว่าน่าเกลียด (ส่วนใหญ่เป็นบวก หมายถึงมาสายกว่าเวลามากกว่ามาก่อนเวลา) เป็นต้นว่านัดกันหกโมงครึ่ง คนที่มาถึงสถานที่นัดหกโมงสี่สิบห้ารู้สึกว่าตัวเองมาตรงเวลาทำเวลาได้ดีมาก คนที่มาถึงตอนหนึ่งทุ่มรู้สึกเฉยๆ ส่วนคนที่มาถึงตอนทุ่มครึ่งก็รีบสาธยายว่าระหว่างทางเจอรถติดตรงไหนบ้าง

เมื่ออาทิตย์ก่อนโน้นนน... เพื่อนๆ เราไปแห่กันไปกินข้าวกลางวันที่ร้านนายแกละ ความที่ไม่ได้นัดกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ พอตอนสิบเอ็ดโมงเตี่ยกับแม่จะออกไปธุระเราก็เลยไปด้วย ตอนเกือบๆเที่ยงตือโทรบอกเราว่ากำลังจะไปที่ร้านนายแกละ เราก็เลยบอกว่าให้ไปที่ร้านก่อน เราเสร็จธุระแล้วจะตามไปที่ร้าน พอเราเสร็จธุระกำลังขับรถจะไปที่ร้าน ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าแล้ว เตี่ยกับแม่เรายังไม่ได้กินข้าวกลางวันก็เลยว่าจะไปกินด้วย เราจะโทรไปบอกตือว่าใกล้จะถึงแล้ว เตี่ยเห็นว่าไหนๆ โทรไปแล้วก็สั่งอาหารให้ด้วยเลย ไปถึงจะได้กินได้เลย ไม่เสียเวลารออาหาร

เราก็โทรบอกตือว่า อีกประมาณสิบห้านาทีจะถึงที่ร้าน ให้สั่งอาหารให้ด้วย พอเตี่ยเราได้ยินเราบอกไปอย่างนั้นก็รีบโวยวายว่าอีกสิบห้านาทีไม่ถึงหรอก อย่างน้อยๆก็ต้อง ยี่สิบนาที หรืออาจจะยี่สิบห้านาทีด้วยซ้ำ พอเราวางโทรศัพท์ไปแล้ว ก็มาคิดๆ แล้วก็ชักเห็นด้วยกับเตี่ยว่ามันน่าจะนานกว่าสิบห้านาทีจริงๆ แต่เราก็เฉยๆไม่ได้โทรไปบอกตือว่าจะถึงช้ากว่านั้น ทั้งๆที่เตี่ยพยายามจะบอกให้เราโทร ก็ความที่เรามาอยู่กรุงเทพฯนานแล้ว (เกินครึ่งชีวิต) ติดนิสัยคนกรุงเทพไปแล้ว เราคิดในใจว่า โธ่... บอกไปว่า อีกสิบห้านาทีถึง ถ้าเราใช้เวลายี่สิบห้านาที ก็คือสายไปสิบนาที สำหรับคนกรุงเทพฯ เขาเรียกว่า มาก่อนเวลาด้วยซ้ำนะเตี่ย (รู้สึกว่าวันนั้นเราจะใช้เวลา ๒๒ นาที)

เราว่าที่คนกรุงเทพฯกลายเป็นคนไม่ใส่ใจให้ความสำคัญกับเวลานัด น่าจะเป็นเพราะคนที่มาตรงเวลาเกรงใจไม่กล้าหรือโวยวายใส่คนที่มาสาย แต่ใช้วิธีแก้แบบผิดๆ โดยการมาสายบ้างในการนัดครั้งต่อๆไป (เธอให้ฉันรอสิบห้านาที คราวหน้าฉันไม่ต้องรีบหรอก ถึงมาสายสิบห้านาที เธอก็บ่นฉันไม่ได้) คราวต่อไปถ้าคนที่มาสาย มาตรงเวลาแล้วพบว่าเพื่อนมาสาย ก็ไม่กล้าโวย เพราะคราวที่แล้วตัวเองก็มาสาย ทีนี้ก็กลายเป็นว่า ไม่ต้องมีความตรงต่อเวลากันแล้ว เพราะผลัดกันสายอยู่แบบนี้

เราว่าคนกรุงเทพฯน่าจะมาคิดใหม่-ทำใหม่ เวลานัดก็มาให้ตรงเวลา แล้วเวลามีคนมาสายก็เตือนๆกัน คราวหน้าตัวเองก็มาให้ตรงเวลาเหมือนเดิม ถ้าคนที่เคยมาสายยังมาสายอยู่อีก เราก็เตือนขั้นรุนแรงขึ้น (คือ อาจจะเริ่มมีการพูดจาประชดประชันเสียดสี หรือ ถ้านัดกันหลายๆคนให้คนอื่นๆ ที่มาตรงเวลา รุมประณามคนที่มาสาย) หรือไม่ก็เราก็ย้ายสถานที่นัดหนีเสียเลย ให้คนที่มาสายมาถึงแล้ว พบว่าตัวเองมาเก้อ หาเพื่อนไม่เจอ

หลังจากเราเป็นคนกรุงเทพฯที่คิดใหม่ทำใหม่ได้แบบนี้แล้ว เราจะพบว่าคนที่เขามาสายเป็นประจำเขาก็จะเลิกคบเราไปเลย เพราะเราเรื่องมาก ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่รู้จัก “หยวน” สรุปว่าที่เขียนมานี้ เอาเข้าจริงๆไม่ได้เกี่ยวกับ Bangkok Time ซักเท่าไหร่ แต่เกี่ยวเคล็ดลับ “ทำยังไงให้ไม่มีคนคบ” ตะหาก


ลป. ทุกวันนี้ ไม่ค่อยมีใครนัดเราทำอะไรเลย ไม่ว่าจะกินข้าวหรือดูหนังเลย เราต้องไปไหนมาไหนคนเดียวตลอดเลย สงสัยจังว่าทำไม... -_-"