Vanilla Sky
::คำเตือน คนที่ยังไม่ได้ดู Vanilla Sky อย่าเพิ่งอ่านนะ เพราะเราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเฉลยพล็อต เดี๋ยวไปดูแล้วไม่สนุก::

เราอยากดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่เห็นหนังตัวอย่างแล้ว (ถึงแม้จะไม่ค่อยปลื้มทอม ครูซซักเท่าไหร่) ตอนที่หนังออกฉายที่เมืองนอกก็เห็นว่าได้คำวิจารณ์ค่อนข้างดี แต่ปรากฏว่าในเมืองไทยเสียงจากคนที่ไปดูมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำเอาเราเสียความมั่นใจไปนิดหนึ่ง แต่ก็คิดว่ายังไงๆ ก็จะไปดูแน่ๆ

ในที่สุดก็ได้ไปดูเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตอนเช้าเรามีสอบ Presentation วิชาสัมมนา (วิชานี้ค้นคว้าทำรายงานอย่างเดียว ตัดเกรดจากรายงานที่ส่งกับ Presentation ที่ให้เราพูดๆ ประมาณ ๑๕ นาที แล้วกรรมการสอบก็จะถามคำถามเป็นการเช็คว่าเรารู้เรื่องที่เราทำหรือเปล่า ของเราก็ผ่านไปด้วยดี กรรมการที่สอบเราก็ท่าทางโอเค อาจารย์ที่ปรึกษาเราไม่ได้ถามคำถามเรา เขาว่าปกติอาจารย์ที่ปรึกษาเขาจะไม่ "ฆ่า" ลูกศิษย์ตัวเอง แต่กรณีของเราก็ไม่เชิงซะทีเดียว ที่อาจารย์ที่ปรึกษาเราไม่ได้ถามคำถามเราซักกะแอะ เพราะแกมัวแต่ง่วนอยู่กับการตรวจข้อสอบหนะ หนอย… เขาให้เข้ามาเป็นกรรมการสอบ ดันเอาข้อสอบวิชาที่ตัวเองสอนมาตรวจ เฮอะ! แต่ก็ดีเหมือนกัน ทำให้เราไม่ต้องตอบคำถามเขา อิอิ)

มาต่อเรื่องหนังดีกว่า เราสอบแป๊บเดียว แต่ลางานทั้งวัน (ไปสอบที่ลาดกระบัง ขี้เกียจขับรถกลับไปทำงานหนะ มันไกล) ก็เลยคิดว่าไปดูหนังก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับบ้านที่แม่กลอง เพราะวันอังคารเป็นวันหยุด (วันมาฆบูชา ที่คนไทยให้ความสำคัญน้อยกว่าวันวาเลนไทน์ แม้แต่นิจวรรณเอง สังเกตดิว่าเรามีการ์ดวันวาเลนไทน์มาโชว์ แต่ไม่มีการ์ดวันมาฆบูชา เดี๋ยวปีหน้าแก้ตัวใหม่ หันมานิยมไทยๆ ดีกว่า) สรุปว่าตัดสินใจดู Vanilla Sky ที่จริงต้องเรียกว่าตั้งใจไปดูมากกว่า เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีหนังอะไรดู (มีเรื่อง Zoolander เงี้ย… โห… ลางานมาทั้งทีดู Zoolander ไม่ไหวๆ) ประกอบกับต้องทำหน้าที่นักวิจารณ์ชมรมวิจารณ์บันเทิงอีกแล้ว (พี่ปุ๊กขอมา บอกให้ไปดูแล้วช่วยมายำ) ก็เลย…Vanilla Sky it is!!

มาถึงคำถามที่ทุกคนรอคอย… ดูแล้วชอบไหม?? ชอบแฮะ (โดนพี่ปุ๊กด่าแน่ๆ เลย เพราะไม่ได้มายำ แต่มา defend) เราว่าหนังมันทำให้เราต้องคิดตามไปเรื่อยๆ ว่าตกลงแล้วเรื่องราวจริงๆ มันคืออะไร ถึงแม้ว่าสุดท้าย พอหนังเฉลยออกมาว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว มันค่อนข้างจะน่าผิดหวัง (หรือจะเรียกว่า ผิดคาดดี?) แต่เราก็รู้สึกว่าเราดูด้วยความบันเทิงตลอดเวลา

Vanilla Sky เป็นเรื่องของเดวิด เอมส์ (Cruise) หนุ่มหล่อที่ได้มรดกมหาศาลในธุรกิจสิ่งพิมพ์จากพ่อ รวยสุดๆ แล้วก็ทำตัวเพล์บอยสุดๆ เหมือนกัน เดวิดมีเพื่อนสนิทคนเดียวชื่อไบรอัน แต่ก็เป็นความสัมพันธ์แปลกๆ เพราะไบรอันเป็นนักเขียน ซึ่งก็ต้องหวังที่จะให้ผลงานของตัวเองได้พิมพ์เป็นหนังสือ ดูแล้วก็เลยไม่ค่อยมั่นใจว่าไบรอันจะดีกับเดวิดจริงๆ หรือหวังผลประโยชน์กันแน่ นอกจากนี้เดวิดมีปัญหากับคณะกรรมการบริหารของบริษัทที่พ่อตั้งไว้ก่อนตาย (คนแคระทั้งเจ็ด หรือ The Seven Dwarves ตามที่เดวิดเรียก) เพราะคณะกรรมการไม่รู้สึกว่าเขาบริหารบริษัทได้แต่ที่ต้องทนรับฟัง ก็เพราะเดวิดถือหุ้นบริษัทอยู่ ๕๑% ในขณะที่ The Seven Dwarves ถืออยู่ ๔๙%

เดวิดกำลังคบอยู่กับจูลี่ (Diaz) ซึ่งอยู่ในอารมณ์รักจริงหวังแต่ง แต่เดวิดยังไม่คิดจะผูกพันธ์กับใคร ก็เลยคิดจะชิ่งหนี พอตัวเองจัดงานวันเกิดก็เลยไม่เชิญจูลี่ ทั้งที่เพิ่งนอนด้วยกันเมื่อคืนก่อนหน้านั้น ทำเอาจูลี่โกรธธธธ ประกอบกับเดวิดมาเจอกับโซเฟีย (Cruz) สาวนักเต้นรำที่ไบรอันบังเอิญไปเจอที่ห้องสมุดเลยชวนมางานวันเกิดของเดวิด เดวิดติดใจโซเฟียทันทีที่เห็น คุยกันถูกคอ จนไบรอันบ่นว่าเขาเป็นคนพาโซเฟียมา ไหงเดวิดมาแย่งกันง่ายๆ แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ ประมาณว่าไม่ยอมให้ผู้หญิงมาทำลายมิตรภาพระหว่างกัน (เราก็สงสัยอีกว่า ยอมเพราะรักเพื่อนจริง หรือยอมเพราะเกรงใจกันแน่)

จูลี่เห็นเดวิดทำท่าติดใจโซเฟียก็ยิ่งหึงหวงไปกันใหญ่ รู้สึกอกหักรักไม่เป็นไปตามหวัง ก็เลยตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการขับรถพุ่งชนสะพานซะเลย แต่ความที่เป็นนางร้ายเธอก็เลยไม่ฆ่าตัวตายเปล่าๆ แต่ชวนเดวิดนั่งรถไปด้วย ผลออกมาคือ รถตกจากสะพานมากระแทกถนนด้านล่าง จูลี่ตาย เดวิดบาดเจ็บหน้าพังยับเยินหมดหล่อ

พอหลังจากตอนนี้ไปหนังก็เริ่มสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะอยู่ๆ เราก็พบว่าเดวิดอยู่ในคุก ถูกจับข้อหาฆาตรกรรม โดยเจ้าตัวยืนยันมั่นเหมาะว่าไม่ได้ฆ่าใคร เขาบอกกับจิตแพทย์ (Russell) ที่ทางคุกส่งให้เข้ามาคุย ว่าเป็นแผนร้ายของพวก The Seven Dwarves ที่คิดจะกำจัดเขาออกไปจากบริษัท หนังตัดกลับไปกลับมาระหว่างฉากในคุกกับเรื่องที่เดวิดเล่าให้จิตแพทย์ฟัง

เรื่องค่อยๆ เปิดเผยออกมาเรื่อยๆ ว่าหลังจากอุบัติเหตุ หมอศัลกรรมที่ดีที่สุดบวกกับเงินมหาศาลก็ไม่สามารถทำให้เดวิดกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เขาต้องทนทุกทรมานจากความอับอายที่หน้าตายับเยินและความกระทบกระเทือนทางสมอง กลายเป็นคนเก็บตัวไม่สู้หน้าคน เขาตัดสินใจไปหาโซเฟีย และทำความเข้าใจกันได้ ต่อมาหมอศัลกรรมสามารถผ่าตัดให้หน้าเขากลับมาหล่อเหมือนเดิม

เรื่องท่าทางจะไปได้ดี แต่ปรากฎว่าโซเฟียหายตัวไป พอเดวิดไปตามที่อพาร์ตเมนต์ ก็ค้นพบว่า ข้าวของต่างๆ ในอพาร์ตเมนต์กลายเป็นของจูลี่ เขาพบจูลี่ในอพาร์ตเมนต์ด้วย ก็เลยคิดว่าจูลี่รอดตายจากตอนที่รถชน แล้วกลับมาแก้แค้น โดยเอาโซเฟียไปซ่อนแล้วปลอมตัวเป็นโซเฟีย ด้วยความโมโหควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก็เลยฆ่าจูลี่ซะเลย แต่สุดท้ายก็พบว่าที่จริงแล้วเป็นภาพหลอน ที่จริงคนที่เขาฆ่าไปแล้วคือโซเฟียตะหาก

หนังขมวดปมเอาไว้เยอะมากจนชักเชื่อไม่ได้ว่า สิ่งที่เราเห็นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นความฝันของเดวิด เพราะจากตอนแรกที่เขาบอกว่าไม่ได้ฆ่าใคร ก็กลายเป็นว่าเขาฆ่าโซเฟีย แต่พอดูจากแฟ้มเอกสารของของตำรวจ กลายเป็นว่าเขาทำร้ายจูลี่ ตกลงมันยังไง ใครเป็นเบื้องหลังเรื่องราวสับสนทั้งหมดนี้ The Seven Dwarves หรือเปล่า (Motive: อยากยึดบริษัท) หรือจูลี่ (Motive: ช้ำรักหนัก อยากแก้แค้น) หรือไบรอัน (Motive: โดนเพื่อนแย่งแฟน หรือโดน The Seven Dwarves ซื้อ เพื่อให้หักหลังเดวิด) ทุกคนมีความน่าจะเป็นในการทำลายชีวิตเดวิดทั้งนั้น แต่สุดท้ายหนังเฉลยออกมาว่าทุกอย่างที่เป็นเป็นเพียงฝัน แถมเป็นฝันที่เกิดจากการใส่โปรแกรมแบบประมาณ Virtual Reality เข้าไปในสมอง!!!

นี่แหละที่เราบอกว่าดูจบออกมาแล้วมันน่าผิดหวัง ก็เรากะเข้าไปดู Psycho Thriller เต็มที่พอดูจบออกมา อ้าวเฮ้ย… นี่มันหนัง Sci-fi นี่หว่า หลอกให้คิดแทบตาย สุดท้ายมันเป็นแค่ว่า ตาเดวิดแกทนทุกทรมาณจากผลที่เกิดขึ้นหลังหลังจากอุบัติเหตุไม่ได้ (อกหักจากโซเฟีย หน้าตายับเยิน ปวดหัวสุดจะทนทาน เพราะกระโหลกร้าวมีเหล็กดามตรึม) หลบเร้นจากสังคม แล้วไปบังเอิญค้นพบบริษัทที่ชื่อว่า Life Extension ซึ่งเป็นบริษัทที่รับแช่แข็งคนที่ป่วยไม่มีทางรักษา เพื่อเก็บไว้ในอนาคต (แทนที่จะปล่อยให้ตาย) เผื่อว่าอนาคตจะรักษาโรคได้

ตาเดวิดแกไปซื้อบริการของ Life Extension ที่เรียกว่า Lucid Dream ไว้ คือแทนที่จะแช่แข็งอย่างเดียว ถ้าจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อย เขาจะแถมบริการใส่โปรแกรมความฝันเข้าไปในระหว่างที่แช่แข็งด้วย มันก็จะเหมือนกับว่าเราแค่นอนหลับฝันไป (จิตแพทย์ประชดว่าเป็น โปรแกรม Cryo-tainment แช่แข็งบวกความบันเทิง ฮา!) ทีนี้เดวิดเนี่ยแกเกิดมีจิตใต้สำนึกที่แรงกล้ามาก ก็เลยไปรบกวนกับโปรแกรมความฝันที่ LE สร้างขึ้นมา เลยกลายเป็นฝันร้ายเป็นบ้าเป็นบอ ว่าจูลี่ไม่ตายและกลับมาแก้แค้น ว่าไปฆ่าโซเฟีย ฯลฯ

เราว่าหนังไม่น่าจะเฉลยเรื่องราวทั้งหมดตอนจบ ความจริงเขาน่าจะจบเรื่องไว้แค่ตอนที่เดวิดกลับไปที่ LE แล้วรู้ความจริงว่าตัวเองกำลังฝัน เลยรับไม่ได้วิ่งหนีออกมาจาก LE แล้วลงลิฟท์มาชั้นล่าง แล้วก็ยืนตะลึงงงอยู่ในห้องโถงที่ไม่มีใครซักคน เพราะมันจะทำให้คนดูต้องคิดต่อไปอีกนานว่าตกลงตอนไหนฝันตอนไหนจริง แต่หนังเขาทำต่อไป โดยให้คน (Technical Support ของโปรแกรม Lucid Dream) มาอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เดวิดฟังเป็นฉากๆ แล้วจบตรงให้เดวิดเลือกว่า จะฝันต่อไปหรือจะตื่นขึ้นมาเจอกับโลกของความเป็นจริง (ซึ่งตอนนี้จะกลายเป็นอนาคต ๑๕๐ ปีข้างหน้าไปแล้ว) เดวิดเลือกที่จะตื่น (คงเหนื่อยกับอาการฝันบ้าบอนี่เต็มทนแล้ว) หนังก็เลยจบด้วยคำพูดเดียวกับที่ได้ยินตอนต้นๆ เรื่อง… Open your eyes… Open your eyes… แต่จะว่าไปถ้าเขาจบแค่เท่าที่เราอยากให้จบ คงมีคนด่ากันอีกตรึม เพราะมันแทบจะหาคำตอบไม่ได้เลยว่าตกลงความฝันมันเริ่มจากตรงไหนกันแน่ (แต่จะว่าไปที่จริงเขาก็ใบ้ไว้ให้เหมือนกันนะ เพียงแต่มันดูยากมากกก)

จริงๆ เราว่าหนังมันมีความไม่ค่อยสมจริงอื่นๆ อย่างเช่นว่า เราไม่เชื่อว่าเดวิดจะไม่สามารถหาศัลแพทย์มาผ่าตัดแก้ไขหน้าตาได้ ศัลยกรรมพลาสติกก้าวหน้าไปขนาดนี้แล้ว มีเงินซักอย่างจะเนรมิตทอม ครูซให้เป็น แบรด พิตต์ยังได้เลยนะ ขอบอก… หรืออย่างเรื่องที่คนที่ตายไปแล้วจะสามารถนำไปแช่แข็งได้ (ในเรื่องเดวิดกินยาฆ่าตัวตายก่อนที่จะถูกนำไปแช่แข็ง) เพราะถ้าตายไปแล้ว สมองก็น่าจะตาย จะมาโปรแกรมฝันใส่ไปในสมอง แล้วมาปลุกให้ตื่นทีหลังไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็นั่นหละนะมันก็ไม่สมจริงตั้งแต่ที่มันเป็นหนังแล้วหละ

ถ้าตัดความผิดหวังที่หนัง Drama Psycho Thriller แปลงร่างเป็นหนัง Sci-fi กับความแปลกๆ ไม่ค่อยสมจริงเล็กน้อยออกไปแล้ว เราว่าโดยรวมๆ Vanilla Sky ก็เป็นหนังดีและน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง มีหลายๆ ฉากที่เราชอบ อย่างฉากเปิดที่เป็นภาพนิวยอร์คจากมุมสูง ฉากที่นิวยอร์คกลายเป็นเมืองที่ร้างคน เดวิดขับรถออกมาตอนเช้า มองไปทางซ้าย ถนนเงียบเชียบไม่มีคนซักคน มองไปทางขวา ไม่มีรถซักคัน ดูนาฬิกา ก็แปดโมงกว่า ขับรถผ่านเซ็นทรัลพาร์ค ไม่มีคน ไม่มีรถเหมือนเดิม ขับมาถึงไทม์สแควร์ ป้ายโฆษณาป้ายไฟยังวิ่งวูบวาบเหมือนเดิม แต่ไม่มีคนซักคน… เกิดอะไรขึ้นฟะ??? หลอนสุดๆ (อืมม์ แล้วสุดท้ายก็เป็นฝัน… อ้าว!!)

แต่ฉากสุดประทับใจของเราต้องยกให้ฉากที่เดวิดได้กลับไปหาโซเฟียอีกครั้ง (ในฝัน) เดวิดเมาหลับไปที่ถนนหน้าอพาร์ตเม้นต์ของโซเฟีย ตอนเช้าโซเฟียมาเห็นเลยใจอ่อน ปลุกขึ้นมาบอกให้ขึ้นไปที่อพาร์ตเม้นต์ของเธอก่อน ประมาณว่าเราลองมาคบกันใหม่ สองคนเดินไปตามถนนตอนเช้า สองข้างเป็นตึก ท้องฟ้าไกลออกไปข้างหลังเป็นสีวานิลลา สวยราวกับรูปวาด เราเห็นแล้วก็เอะใจหน่อยๆ แบบว่า เฮ้ย… ฟ้ามันจะสวยอะไรขนาดนั้นฟะ เกินจริงไปหน่อยหรือเปล่า หรือจะแฝงอะไรไว้ ปรากฏว่าเขาก็แฝงไว้จริงๆ ด้วย เพราะฉากนี้แหละที่เป็นรอยต่อ ระหว่างความฝันกับความจริง

แถมเกร็ดให้นิดหนึ่ง เขาว่า Vanilla Sky เนี่ยที่จริงผู้กำกับ Cameron Crowe เขาตั้งใจจะใช้เป็นชื่อของหนังเรื่องก่อนหน้านี้ที่เขากำกับ (คือ Almost Famous หนังที่เราช้อบ.. ชอบอีกเรื่องหนึ่งของปีที่แล้ว) แต่มันไม่ค่อยเวิร์ค แกคงชอบชื่อนี้มากๆ ก็เลยเก็บเอามาตั้งชื่อจนได้ (แทนที่จะใช้ชื่อเดียวกับต้นฉบับที่เป็นหนังสเปน ชื่อ Open Your Eyes) หนังเรื่องนี้ชื่อดาราผู้กำกับไม่มีค่อยสร้างสรรค์เลยนะ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่น ผู้กำกับ Cameron Crowe กับ ดารา Cameron Diaz แถมพระเอกก็ครูซ (Tom Cruise) นางเอกก็ครูซ (Penelope Cruz ซึ่งเล่นบทเดียวกันนี้ในเวอร์ชั่นสเปนด้วย) แบบว่าเวลาคุยๆ กันแล้วน่าจะงงๆ เนอะ เพราะเราอ่านสัมภาษณ์ทีมงาน เวลาเขาพูดถึงกันบางทีต้องเรียกว่า Cameron Diaz เต็มยศเลยอ่ะ