Final term is over
ในที่สุดก็ปิดเทอมอย่างเป็นทางการเสียที การบ้านชิ้นสุดท้ายที่เป็นงานกลุ่ม Present ไปเมื่อวันเสาร์ ตอนแรกอาจารย์กำหนดไว้ว่าให้เสร็จ ๒ อาทิตย์ก่อนสอบ (ประมาณต้นเดือนกุมภา) แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤตของเพื่อนๆ เรา คือจะต้องส่งรายงานโปรเจ็คต์ ก็เลยเลื่อนมาเป็นหลังสอบ (เราไม่ได้ทำโปรเจ็คต์ เพราะขี้เกียจและไม่มีความสามารถพอ ก็มันต้องออกแบบระบบ เขียนโปรแกรมอะไรวุ่นวาย เราไม่มีความรู้พอ และไม่คิดว่าจะสามารถไขว่คว้าหาความรู้ได้ แค่เขียนภาษาคนให้รู้เรื่องก็ยากแล้ว นี่ต้องเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ ไม่ไหวอ่ะ ก็เลยไม่ทำมันซะเลย ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้หละ ใครๆ ก็ว่าน่าเราจะลองทำดู ไหนๆ ก็เรียนมาตั้ง ๔ เทอมแล้ว แต่เราก็ดื้อตาใส บอกว่าไม่ทำๆ ไม่เอาปริญญาก็ได้หนิ)

ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ เขาจะเป็นเหมือนเราหรือเปล่า นิสัยแย่ๆ แบบนี้ คือถ้าไม่ถึงเส้นตาย งานก็ยังไม่เสร็จ ไม่ว่าจะมีเวลาให้ทำนานแค่ไหนก็ตาม เราเป็นแบบนี้มาตลอด และยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ คราวนี้เป็นงานกลุ่มต้องพรีเซนต์วันเสาร์เก้าโมง รายงานกลุ่มเราเสร็จตอนหกโมงเช้าวันเสาร์ (ปกติจะก็ไม่เคยเสร็จก่อนหน้าเส้นตายเกิน ๑ วัน แต่คราวนี้ทำลายสถิติ หน่วยเป็นชั่วโมง) เราสะโหลสะเหลกลับบ้าน ยามที่คอนโดถามว่า นี่มาผิดเวลาหรือเปล่า คงสงสัยว่าเราเปลี่ยนไปรับงานกะดึกตั้งแต่เมื่อไหร่ เราต้องกลับมาพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ เพราะที่บ้านเพื่อนที่ไปรวมกันทำรายงานไม่มีเครื่องพิมพ์สี

เรากะว่าจะสั่งพิมพ์รายงานแล้วก็จะไปอาบน้ำแล้วก็งีบซัก ๒ ชั่วโมง แล้วค่อยขับรถเอารายงานไปส่งที่ลาดกระบัง แต่เปิดตู้หากระดาษจะเอามาใส่เครื่องพิมพ์ ก็พบว่ากระดาษดีหมด (กระดาษดี หมายถึงกระดาษใหม่ๆ ที่เอาไว้พิมพ์งานสำคัญๆ หรือการบ้านส่งอาจารย์ ปกติเราใช้กระดาษรียูสตลอด เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไม่สำคัญ เราเอากระดาษที่ใช้ไปแล้วด้านเดียวมาจากที่ทำงานบ้าง เก็บจากเอกสารที่มีคนส่งมาให้เราบ้าง) เฮ้อ… กฏของเมอร์ฟี่อีกแล้ว If anything can go wrong, it will. Of all the time it can go wrong, it will go wrong at the worse possible time. :(

เราขี้เกียจออกไปซื้อกระดาษ เพราะเหนื่อยมากๆ เลยโทรไปหาเก๋(พี่สาว) บอกว่าก่อนจะไปทำงานให้แวะเอากระดาษมาให้เราด้วย เก๋ยังไม่ตื่น ก็เลยคุยกับเราเสียงงัวเงียจนเรากลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง เพราะอาจจะนึกว่าฝันว่าคุยกับเรา เราเลยต้องย้ำหลายๆ รอบว่าอย่าลืมนะๆ เพราะเราต้องส่งการบ้าน วางโทรศัพท์แล้วเราก็ไปนอนโดยตั้งนาฬิกาปลุกทั้ง ๓ เรือน เราตื่นมาอีกทีตอนแปดโมงสิบห้า ด้วยเสียงโทรศัพท์ของเพื่อนอีกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ที่เราวางตัวให้เขาเป็นคนพรีเซนต์ เพราะมีความรู้ที่สุดแล้ว เราบอกเขาว่าจะไปถึงประมาณเก้าโมงครึ่ง เพราะต้องรอกระดาษ แล้วเราก็ไปอาบน้ำ

เก๋มาถึงแปดโมงสี่สิบห้า กว่าจะพิมพ์เสร็จกว่าจะเก็บของ ได้ออกจากบ้านเก้าโมง ขับรถไปตัวเบาหวิว ไม่ใช่โล่งใจหรอกนะ แต่มันเป็นอาการของคนนอนไม่พอ สติสตังค์ไม่อยูกับตัว เราไปถึงลาดกระบังสิบโมง ปรากฏว่ากลุ่มแรกกำลังพรีเซนต์อยู่ เพื่อนคนที่โทรมาหาเราขอร้องเราว่าให้ช่วยกันพรีเซนต์คนละครึ่ง แต่คราวนี้ เราต้องทำตัวไม่เกรงใจ บอกเขาไปว่าไม่ไหวจริงๆ ความรู้ก็ไม่มี แถมไม่ได้นอนอีก ขอให้เขาพรีเซนต์ทั้งหมดคนเดียวแล้วกัน แล้วถ้าอาจารย์ถามเราจะช่วยตอบ เขาก็เลยจำต้องรับหน้าที่ไปทั้งหมด

การพรีเซนต์ผ่านไปด้วยดี เพราะเพื่อนเราเก่ง เขาพูดเนื้อหาได้ครบ อาจารย์ก็เลยไม่ถามอะไรมาก พอเขาลงจากเวที เราก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก เฮ้อ… ปิดเทอมเสียที วันที่เราไปพรีเซนต์มีเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เจอกันนานมารวมๆ กัน (เทอมสุดท้ายนี้มีแต่วิชาเลือก เพื่อนๆ ในชั้นเราก็เลยต่างคนต่างเลือก เลยไม่ค่อยเจอกันพร้อมๆ หน้า) บางคนก็มาพรีเซนต์การบ้านวิชาอื่นๆ บางคนก็มาสอบวิชาแล็บ บางคนก็มาเจอเพื่อน เราก็เลยชวนกันไปกิน "ไก่ย่างหนังกรอบ" ใกล้ตลาดหัวตะเข้

ไก่ย่างหนังกรอบ เป็นร้านไก่ย่างส้มตำที่เด็กลาดกระบังทุกคนน่าจะต้องรู้จัก (ถ้าไม่รู้จักแสดงว่าเป็นเพื่อนไม่รัก เลยไม่ชวนไปกินของอร่อย) เพราะไก่ย่างอร่อยมาก รสชาติกลมกล่อม ย่างด้วยเทคนิคเฉพาะตัว ทำให้ไก่เนื้อนุ่ม หนังหนังกรอบกำลังดี สมัยที่เรายังเรียนอยู่ปริญญาตรี (สิบปีแล้วอ่ะ น่าตกใจจริงๆ) ร้านยังเป็นเพิงๆ อยู่เลย หลังจากเราเรียนจบปีสองปี เขาก็ทำร้านดีขึ้น มุงหลังคาดีๆ เทพื้นเรียบร้อย ตอนที่เรากลับมาเรียนปริญญาโทนี่ พอเราต้องเข้ามาที่ลาดกระบังก็จะพยายามชวนเพื่อนๆ ไปกินที่ร้านนี้ แต่ไม่ได้กินเสียที เพราะส่วนใหญ่ เราไปวันเสาร์แล้ว ร้านมันปิด เพิ่งมาสำเร็จเอาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง

พูดถึงไก่ย่างหนังกรอบแล้ว อาหารอีกอย่างหนึ่งที่เด็กลาดกระบังต้องรู้จักและเคยได้กิน คือ ข้าวแกงหัวตะเข้ อันนี้ไม่ใช่ขึ้นชื่อเพราะอร่อย แต่เพราะช่วยประทังความหิวให้เด็กนักเรียนมาเยอะแล้ว ข้าวแกงเจ้านี้เขาขายตอนดึกๆ (หรือใกล้ๆ สว่าง) ตีสามตีสี่ เขาขายให้พวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดหัวตะเข้ ที่เขาเอาผักเอาของมาขายที่ตลาดตั้งแต่เช้ามืดไง สำหรับพวกเราก็จะเป็นลูกค้าตอนเวลาใกล้ๆ สอบ คือพวกเราจะไปค้างที่คณะอ่านหนังสือเตรียมสอบกัน ตกดึกก็หิว ต้องหาอะไรกินกัน ก็มีข้าวแกงนี่หละที่ขายเวลาประหลาดแบบนั้น ยิ่งสมัยที่เราเรียนไม่มีพวกร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ก็ต้องข้าวแกงนี่หละ รสชาติไม่ดีไม่เป็นไร ข้าวร้อนๆ แกงร้อนๆ กินให้มันหนักๆ ท้องเข้าไว้เป็นพอ

พอกินไก่ย่างหนังกรอบเสร็จเราก็จะกลับบ้าน แต่ความที่ง่วงมากๆ กลัวหลับในระหว่างขับรถ ก็เลยไปขอนอนที่ห้องแล็บที่เพื่อนเราเรียนก่อน คนอื่นๆ ก็นั่งทำแล็บไป เราเอาหมอนจากในรถมา แล้วก็มาฟุบนอนที่โต๊ะด้านหลังสุด กำลังหลับสบายๆ (มีฝันเรื่องการบ้านที่ทำไปเมื่อคืนก่อนเล็กน้อย) ได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ เลยงัวเงียขึ้นมาดู แว๊ก.. อาจารย์ที่ปรึกษาเราเอง ยืนอยู่หน้าห้องเตรียมสอนแล็บภาคบ่าย ไอ้เราก็คิดว่าภาคบ่ายไม่มีสอนแล้วปล่อยให้นักเรียนนั่งทำแบบฝึกหัดอย่างเดียว เลยสะแหลนเข้ามานอน มารู้ตอนนี้ก็กลับตัวไม่ทันแล้ว

อาจารย์ที่ปรึกษาเราแกถามใส่ไมโครโฟนว่า นั่นใครหนะ เรายังไม่ทันตอบก็มีเสียงจากเพื่อนเราข้างหน้าตอบไปว่า Advisee อาจารย์ไงคะ แกเลยถามต่อว่ามาทำไม เราบอกเสียงงัวเงียไม่ค่อยมีสติว่า ขอใช้ห้องนี้หน่อยนะคะ (จะบอกว่าขอนอนที่นี่หน่อยก็เกรงใจ แบบว่านักเรียนอื่นๆ เต็มห้องเลย ไม่รู้มาจากไหนกัน ตอนที่เรามาตอนแรกมีแค่ไม่กี่คน) อาจารย์แกคงฟังเราไม่รู้เรื่อง ถามว่าอะไรนะๆ เราก็ตอบซ้ำแต่ไม่ได้ใจความอะไรเพิ่ม อาจารย์แกคงขี้เกียจเลยเลิกสนใจไป เราก็ฟุบหลับไปอีกรอบ ตื่นมาอีกทีตอนเกือบๆ สามโมง คิดว่ากลับบ้านดีกว่า แต่จะลุกออกจากห้องก็ยังไม่ได้ เพราะอาจารย์ยังสอนอยู่ เลยนั่งตาปรือรอจนแกสอนจบประมาณบ่ายสามกว่า

ออกจากห้องได้เพื่อนๆ ก็ชวนไปกินขนม เลยไปนั่งกินนั่งคุยอีกพักหนึ่ง กว่าจะได้ออกจากลาดกระบังก็สี่โมงกว่า ขับรถไปดู Black Hawk Down แล้วค่อยกลับบ้าน ไม่ค่อยชอบ Black Hawk Down เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี แต่มันเป็นหนังสงคราม ไม่ชอบ ไม่รู้ว่าจะรบกันไปทำไม ไม่ว่าใครจะชนะก็มีแต่ความเสียหาย เรื่องนี้น้องเขาจ๊อดได้เล่นบทหนักๆ แล้วก็ตัดผมเสียสั้นเชียวเลยไม่เหลือเอกลักษณ์ผมชี้ๆ พ่อหนุ่มที่เล่นเป็นเทพผมยาวสลวยใน Lord of the rings ก็เล่นด้วย เป็นทหารหนุ่มหน้าใส ออกมาได้แป๊บเดียวยังไม่ทันได้รบก็ตกฮอตายเสียก่อน

ตอนนี้ชักมีเวลาว่างแล้วอยากหาหนังสบายๆ ดูจังเลย ตอนนี้มีแต่หนังโหดๆ เรื่อง Battle Royal นี่ก็ทั้งโหด ทั้งโรคจิต (เป็นหนังญี่ปุ่น เขาเอาเด็กนักเรียนไฮสคูลไปไว้บนเกาะ แล้วแจกอาวุธสงครามให้ฆ่ากัน คนที่รอดตายคนสุดท้ายเท่านั้นที่จะได้ออกจากเกาะ) ยังไม่แน่ใจว่าจะไปดูดีไหม กลัวทนไม่ได้จริงๆ