Shopping (ใส่ได้ไหมคะ?)
วันนี้ตั้งใจตื่นแต่เช้า (แปดโมง- สำหรับวันเสาร์นับว่าเช้ามาก) กะจะไปดูหนังรอบแรกที่เซ็นทรัลพระราม ๓ หลังจากโอ้เอ้ทำโน่นทำนี่ กว่าจะเรียบร้อยออกจากบ้านได้ก็สิบเอ็ดโมง ไปถึงที่จอดรถกำลังจะขึ้นลิฟท์ เห็นเขาติดป้ายอยู่ที่ใกล้ๆ ลิฟท์ว่า โรงหนังชั้น ๗ และ ชั้น ๘ ปิดบริการชั่วคราว เพื่อซ่อมปรับปรุง ทำเอาเราเซ็งไปเลย กะว่าจะไปดู The Others ที่ปิบอกว่าดี ซะหน่อย อดเลย ความจริงเมื่อวาน เราพยายามเช็ครอบหนังทางอินเตอร์เน็ต ไปที่เว็บไซต์ของ UA เขาก็มีแต่เวลาของที่เอ็มโพเรียม แต่ไม่มีเวลาของพระราม ๓ เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอมาเจอประกาศที่เขาติดที่ลิฟท์ก็เลยเข้าใจ แต่ก็ทำให้เราไม่เข้าใจไปด้วยพร้อมๆ กัน ว่าทำไม๊ ทำไม ที่เว็บไซต์เขาจะเขียนบอกไว้สักหน่อยไม่ได้หรือ ว่าช่วงนี้โรงหนังกำลังปิดปรับปรุง ทำไมเอาหน้าที่เป็นเวลาฉายออกไปเฉยๆ จะให้เราตรัสรู้ได้เองหรือไง เฮ้อ… เซ็ง

เราอดดูหนังแล้วก็รู้สึกเสียเที่ยวมากที่อุตส่าห์ขับรถไป ก็เลยไปเดินดูชุดว่ายน้ำแทน คือถึงเวลาต้องซื้อชุดว่ายน้ำอีกแล้ว เพราะชุดเก่าที่ใช้มาหลายปีมันยืดดดด หมดสภาพ ความจริงเมื่อตอนต้นเดือนมี Central Midnight Sale เราก็ไปเดินดูมารอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้ซื้อเพราะยังไม่ได้แบบที่ถูกใจในราคาที่ถูกใจ ความตั้งใจหลักคือจะซื้อแบบที่เป็นวันพีซสำหรับเอาไว้ใส่ว่ายน้ำสระชุดหนึ่ง และถ้าเจอแบบทูพีซที่ถูกใจก็จะซื้ออีกชุดหนึ่งอาไว้ไปดำน้ำ เพราะเวลาไปดำน้ำใสชุดว่ายน้ำแทบทั้งวัน แบบที่เป็นทูพีซจะสะดวกเวลาเข้าห้องน้ำ

ไม่รู้เคยสังเกตเวลาไปลองชุดที่เขามีขายกันตามห้างสรรพสินค้ากันไหม พนักงานเขาจะพยายาม “บริการ” เรามาก เพราะอยากขายของ แต่เราว่าเขาไม่ค่อยมีจิตวิทยาในการพูดเลย ก็ดูอย่างเวลาที่เราเอาชุดไปลองแล้วกลับมาเนี่ย พนักงานร้อยละร้อยจะถามว่า “ใส่ได้ไหมคะ?” ถ้าเราใส่ชุดที่เราไปลองแล้วรู้สึกว่าโอเค เราก็จะตอบไปประมาณว่า “เอาชุดนี้“ แต่เวลาที่เราไม่ชอบเนี่ยสิเราไม่ค่อยจะอยากตอบเลย ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี “ใส่ไม่ได้ค่ะ อ้วน… ใส่แล้วคับปึ๋งติดกระดุมไม่ได้เลย” หรือ “ใส่ได้ค่ะ แต่ดูเหมือนช้างน้ำ” มันเหมือนกับว่าเขาจะบอกว่าถ้าเราไม่ซื้อขุดที่เราเอาไปลองก็คือ “ใส่ไม่ได้อะดิ เลยไม่ซื้อ” หรือ “ใส่แล้วน่าเกลียดอะดิ เลยไม่ซื้อ” ส่วนใหญ่เราจะเลี่ยงๆ ตอบไปว่า “ยังไม่ชอบค่ะ” หรือ “เดี๋ยวขอดูแบบอื่นๆ ก่อนดีกว่า”

เราว่าพนักงานเขาคงไม่ได้คิดอะไรหรอกกเวลาที่ว่า “ใส่ได้ไหมคะ?” มันก็เป็นแค่เวอร์ชั่นที่อ้อมค้อมกว่าสำหรับการจะถามว่า “ตกลงจะซื้อหรือไม่ซื้อ?” เขาคงคิดกันดีแล้วว่ามันเป็นคำถามที่เหมาะสม ไม่งั้นเขาคงไม่เอามาสอนให้พนักงานพูดเหมือนกันเดี๊ยะไปหมดทุกคนทุกห้าง และจะว่าไปแล้วคำถามนี้มันก็คงไม่เป็นปัญหาหรือกระแทก “จุดอ่อน” ใครมาก นอกจากกระเทือนใจสาวช้างร่างหนาอย่างเรา สาวๆ ยุคใหม่สมัยนี้เขาหุ่นบางร่างปลิวลม เขาคงไม่รู้สึกแปลกอะไรเพราะเอาชดไหนไปลองใส่ก็คงใส่ได้ ขึ้นอยู่แต่ว่าจะอยากเต็มใจจ่ายเงินซื้อมันหรือเปล่า แต่ยังไงๆ เราก็อดคิดเล่นๆ หวังเรื่อยๆ ว่าเขาน่าจะมีการเปลี่ยนคำถามเวลาเราลองชุดเสร็จได้นะ อย่างเมืองนอกเนี่ยเราจำได้ว่าพนักงานเขาจะถามว่า “Any good?” หรือ “Are they any good?” อะไรประมาณเนี้ยนะ คือเขาจะถามว่า “ดีไหม?” หรือ “ชอบไหม?” ไม่ใช่ “Can you wear it?” ในเมืองไทยก็น่าจะทำได้ เวลาเราเอาขุดไปลองเสร็จกลับมา พนักงานก็ถามเราว่า “ชอบไหมคะ?” หรือ “ชอบชุดไหนบ้างไหมคะ?” เราจะได้ตอบได้อย่างสบายใจว่า “ยังไม่ค่อยชอบค่ะ ขอบคุณมาก”

Noodles

วันนี้ในที่สุดเราก็ยังไม่ได้ซื้อชุดว่ายน้ำตามใจหมาย (แต่คิดว่ายังไงๆ คงต้องซื้อให้ได้ก่อนสิ้นเดือนนี้ เพราะเดือนหน้าจะไปดำน้ำแล้ว) หนังก็ไม่ได้ดูก็เลยจะกลับบ้านที่แม่กลอง ก่อนกลับไปกินบะหมี่ที่ฮาจิบังราเมน เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งค้นพบเมนูเด็ดที่ฮาจิบังราเมน เมื่อก่อนตอนสมัยเรายังเรียนปริญญาตรี เราไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่ตึกชาญอิสระกับพี่อ๋อง (รุ่นพี่ชมรมบริดจ์ที่ลาดกระบัง) พี่อ๋องเป็นยอดนักกินมืออาชีพ เวลาเรียนเสร็จเป็นต้องหาของกิน วันหนึ่งเขาชวนเราไปกินนูดเดิ้ลการ์เด้นที่โรบินสันสีลมแล้วสั่งบะหมี่แห้งหมูน้ำพริกเผา เป็นบะหมี่ลวกสุกราดหน้าด้วยหมูสับเอาไปผัดกับน้ำพริกเผา รสชาติเค็มๆ หวานๆ เผ็ดๆ สั่งมาแล้วก็ราดพริกน้ำส้มอีกนิดหน่อย ถูกใจเราจริงๆ กลายเป็นอาหารจานด่วนในดวงใจ ถ้าไปกินนูดเดิ้ลการ์เด้นก็ต้องเมนูนี้หละ ไม่เปลี่ยนใจ ตอนหลังไม่รู้ว่าเขายกเลิกเมนูนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนช่วงประมาณตรุษจีนเราไปกินบะหมี่ฮาจิบังกับเก๋(พี่สาว)และพี่เธียร(แฟน.. เอ้ย..สามีเก๋) ปกติไปฮาจิบังเราจะสั่งบะหมี่น้ำ เพราะเป็นคนจำเจ กินอะไรแล้วก็จะกินซ้ำๆ ก็เลยสั่งบะหมี่น้ำอย่างเคย แต่พี่เธียรสั่งบะหมี่แห้งทันตัมเมน พอเขายกมาปุ๊บเราก็นึกถึงบะหมี่แห้งหมูน้ำพริกเผาของโปรดของเราเลย คิดหมายใจไว้ว่าคราวหน้าจะต้องมาลองพิสูจน์ว่านอกจากหน้าตาแล้ว รสชาติจะใช่ด้วยหรือเปล่า ไม่กี่วันต่อมาเราก็เลยหาโอกาสไปลองชิมแล้วก็รู้ว่า รสชาติใกล้เคียงมาก ต่อๆ มาเวลาไปฮาจิบังเราก็สั่งบะหมี่แห้งทันตัมเมนเป็น Default แต่ถ้าวันไหนอยากซดน้ำซุปก็จะสั่งเวอร์ชั่นที่เป็นบะหมี่น้ำแทน (จำชื่อไม่ได้ แต่ว่าทำเหมือนบะหมี่แห้งเด๊ะ แต่มีน้ำซุปด้วย)

Flushing

ขับรถกลับมาแม่กลองก่อนเข้าบ้านก็แวะไปหาหมอที่โรงพยาบาลแม่กลอง ๒ เพราะอาการไอน้ำมูกไหลสลับกับแน่นจมูกยังไม่หาย ตอนแรกคิดว่าถ้าได้พักผ่อนมากๆ ก็คงหายไปเอง แต่นี่มันผ่านมาประมาณเกือบสองเดือนแล้วหลังจากที่เราเริ่มไอครั้งแรก รู้สึกว่ามันเป็นนานเกินไปจนกลัวจะเป็นอาการเรื้อรัง ประกอบกับพี่ที่ที่ทำงานเริ่มพูดจาขู่เราว่า ถ้าเรามีน้ำมูกไหลนานๆ แสดงว่ามีเชื้อโรค เชื้อโรคอาจเข้าไปในโพรงจมูก แล้วกลายเป็นไซนัสอย่างที่เขาเป็นก็ได้ เขาเพิ่งไปหาหมอมาก่อนที่เราจะไอไม่นาน เขาเล่าว่าโพรงจมูกเขาอักเสบมีหนองขังอยู่ เลยทำให้เกิดอาการปวดหัว หมอให้ยาฆ่าเชื้อโรคมากินก็ไม่ดีขึ้น เขาเลยใช้วิธี Flushing ที่จริงภาษาทางการแพทย์เขาคงเรียกอย่างอื่นอ่ะนะ แต่มันเหมือนกับการ Flushing ระบบท่อในงานของเรา ทุกคนก็เลยเรียกมันว่า Flushing ก็คือหมอเขาจะเอาท่อสอดเข้าไปในโพรงจมูก แล้วฉีดน้ำล้างให้หนองออกมา เราฟังแล้วก็สยองขนลุกขนพอง พี่เขาบอกว่ามันไม่เจ็บหรอกนะ แต่รู้สึกพิลึกๆ ก็สมควรหรอกนะ เอาอะไรสอดเข้าไปในจมูกมันก็ต้องพิลึกเป็นธรรมดา (โอย.. เสียวหว่ะ)

พักหลังๆ นี้พอเราสั่งน้ำมูกทีไร ก็จะมีคนพูดขึ้นมาว่า “นิจๆ ระวัง Flushing นะ“ เพราะเขารู้ว่าเราสยดสยองกับวิธีการนี้มาก เราได้ยินคนทักบ่อยๆ ก็ชักใจไม่ค่อยดี กลัวจะโดน Flushing บ้าง ก็เลยตัดสินใจว่าไปหาหมอดีกว่า เราไปหาหมอ เขาก็ไม่ตรวจอะไรมากมาย พอเห็นว่าไม่มีไข้ ไม่ปวดหัว แต่ไอกับมีน้ำมูกเขาก็คิดว่าเราคงแพ้อะไรมากกว่าที่จะเป็นหวัด ก็เลยให้ยาแก้อักเสบ แก้ไอ ลดน้ำมูกมา ดูๆ แล้วก็เป็นยาที่เราเคยๆ กินมาแล้วทั้งนั้น แต่คราวนี้เขาให้ยาเราเยอะมาก ยาแก้อักเสบนี้ให้มากินไปได้อาทิตย์หนึ่ง (ปกติเป็นหวัดเขาจะให้ยาประมาณ ๓–๔ วัน) บอกว่าให้กินยาให้หมด (ถ้ากินไม่ครบ Dose เชื้อโรคมันจะดื้อยา) เราจะดูซิว่ากินยาหมดรอบนี้แล้วจะหายไหม ให้มันรู้กันไปว่าเชื้อโรคกับเรา ใครมันจะดื้อด้านกว่ากัน