Service Awards
เมื่อวันพุธที่ผ่านมาที่บริษัทเขาจัดงาน Service Awards ให้พนักงานที่ทำงานมาครบ ๕ ปี (ถ้ายังพอจำได้ว่าเราเขียนไปเมื่อวันก่อนว่าเราทำงานมาครบ ๖ ปีแล้วก็อย่าเพิ่งงง โปรดติดตามต่อไป) เขาเพิ่งจัดเป็นครั้งที่ ๒ จัดครั้งแรกไปเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว ถึงเราจะเป็นคนรุ่นบุกเบิกสมัยก่อตั้งออฟฟิศ แต่เข้ามาเริ่มงานตอนตั้งออฟฟิศได้ประมาณปีหนึ่ง เลยไม่ทันครบห้าปีตอนเขาจัดครั้งแรก

งานครั้งแรกเขาจัดที่โออิชิใกล้ๆ กับที่ทำงาน เป็นงานเลี้ยงกลางวัน ก่อนวันงานประมาณ ๒ อาทิตย์ เขาก็แจ้งพนักงานที่ครบห้าปีรู้ว่าวันนี้ๆ บริษัทจะพาไปเลี้ยง พอถึงวันที่กำหนดก็เดินไปที่ร้าน มีกินอาหารและมอบของรางวัล เป็นเข็มหรือจี้ห้อยคอรูปโลโก้บริษัททำด้วยทองคำหนักประมาณครึ่งสลึง (เขาให้เลือก แต่ก็เหมือนจะเป็นกลายๆ ว่าเข็มสำหรับผู้ชาย จี้สำหรับผู้หญิง)

พอประมาณหกเดือนหลังจากงานครั้งแรก เจ้าหน้าที่ HR ก็มาเดินตระเวนถามพนักงานที่อายุงานใกล้ครบห้าปี หรือตกรอบจากงานครั้งแรกว่า อยากจะให้จัดงาน Service Awards ครั้งต่อไปที่ไหน สะดวกวันเวลาไหน อยากได้จี้หรือเข็ม ฯลฯ คนส่วนใหญ่ก็บอกว่าจัดเหมือนครั้งแรกก็โอเค สะดวกดี หลังจากสำรวจไปแล้วเขาก็ส่งอีเมล์มาบอกว่า จะจัดงานประมาณวันนี้ๆ แล้วก็ลิสต์รายชื่อร้านอาหารมาให้เลือก เราก็เลือกกันไปเสร็จเรียบร้อย (ส่วนใหญ่ยังยืนยันความคิดเดิม จัดเหมือนครั้งแรกนั่นแหละ สะดวกดี) แต่เขาส่งกลับมาบอกว่าร้านที่เลือกไปไม่เอาแล้ว "นาย" บอกว่าอยากให้จัดเป็นงานตอนเย็น และถ้าให้ดีน่าจะไปล่องเรือที่แม่น้ำเจ้าพระยา (เวลาเราใส่ "" ให้นาย เนี่ย หมายถึงว่า เจ๊ HR แกจะเน้นว่า "นาย (ฝรั่ง) สั่งมา" แกไม่ค่อยเห็นด้วยกับ "นาย" แต่ก็เถียงไม่ได้ แต่เรารู้สึกว่า นายสั่งมา แล้วไงอ่ะ ถ้าเราไม่ทำจะเป็นไง นายผิดไม่ได้เหรอ ฯลฯ ที่จริงคือเราหมั่นไส้อ่ะ เพราะพวก HR กับ Admin ของที่นี่บางทีเขาชอบเอาใจฝรั่งเกินเหตุ ทำไมฟะ ฝรั่งวิเศษกว่าคนไทยตรงไหน ก็คนเหมือนๆ กัน) แล้วก็ระบุมาเสร็จสรรพว่าจะจัดที่นี่ วันนี้ๆ ให้ RSVP กลับด้วย เขาจะไปจองร้านอาหาร

ต่อมาเขาก็ส่งอีเมล์บอกว่าต้องขอเลื่อนงานออกไปก่อนเพราะมีคนไม่ว่างในวันที่เขากำหนด (แต่เราว่าส่วนหนึ่งมาจากความที่คนไม่อยากไปล่องเรือ เพราะจากที่ทำงานเราต้อง "ถ่อ" ไปร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาหลังเลิกงาน มันต้องมานะมาก คนที่บริษัทเราไม่ค่อยชอบงานสังสรรค์และการบันเทิงขนาดนั้น ไม่เหมือนคนที่บริษัทพี่ปุ๊กหรอก) และต่อๆ มาก็มีอีเมล์ออกมาอีกเรื่อยๆ เกี่ยวกับงานนี้ โดยเนื้อหาก็จะเป็นว่า จะจัดที่นั่นที่นี่ แล้วก็โดนเลื่อนไปเรื่อย จนเราเลิกสนใจกับอะไรๆ ที่เขาแจ้งมา เรามาได้อีเมล์อีกทีคือตอนปลายเดือนกุมภาที่ผ่านมาว่า งาน Service Awards สำหรับพนักงานที่ทำงานครบห้าปีจะจัดที่โรงเบียร์ Hartmann Dorfer ที่ SCB Park Plaza วันพุธที่ ๗ มีนา (ขอเน้นว่า ตอนที่เราได้รับอีเมล์ เรามีอายุงานครบหกปีเต็มไปหมาดๆ) คาดว่าเขาคงรู้เป็นนัยๆ ได้ว่าถ้าจัดงานไกลกว่า ๑๕ หรือ ๒๐ นาทีจากที่ทำงาน คงมีคนเบี้ยวไม่ไปเยอะ

พอวันจันทร์ที่ ๔ มีนา เราก็เริ่มตื่นเต้นๆ โม้ให้คนอื่นๆ ฟังว่าเราจะกินให้คุ้มเลย เพราะรองานนี้มาปีหนึ่งเต็มๆ พอเช้าวันอังคาร เราเจออีเมล์บอกว่า งาน Service Awards ต้องเลื่อนออกไปก่อน เราก็ฉุนกึกเลยอารายฟะ เลื่อนอีกละ แต่มีคนไวกว่าเรา ส่งอีเมล์กลับไปสั้นๆ ว่า "Why?" เขาตอบกลับมาว่าเพราะ "นาย" คนหนึ่งไม่ว่างต้องเดินทางไปต่างประเทศ เราก็นึก เออ… ตกลงมันจะฉลองให้ "นาย" หรือจะฉลองให้ลูกน้องฟะ แต่ก็ไม่ว่าอะไร สุดท้ายเขาก็ได้กำหนดใหม่ เป็นวันพุธที่ผ่านมา (๒๗ มีนา) เราก็ไปป่าวประกาศไปทั่ว (อีกรอบ) ว่า งานนี้ต้องล้างท้องเตรียมกินตั้งแต่วันอังคาร แต่มีคนเตือนว่าอย่าเอ็ดไป ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ถ้ายังไม่ไปนั่งที่ร้านอย่างเพิ่งแน่ใจอะไร

แต่ในที่สุดก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ได้จัดงานในที่สุด โดยมีพนักงานที่อายุงานครบ ๕ ปี (เมื่อประมาณ ปีครึ่งถึงสองปีที่แล้ว) ประมาณ ๑๕ คน ไม่มาร่วมงาน ๒ คน (คนหนึ่งลาพักร้อนไปเที่ยวต่างประเทศ จองไว้นานแล้ว อีกคนหนึ่งพาภรรยาไปปรึกษาหมอเรื่องทำกิฟท์ - he is working on the baby "นาย" เราบอกกับ "นาย" อีกคนหนึ่ง) งานก็ไม่มีอะไรมาก ไปถึงที่ร้านกันประมาณหกโมง ก็มีสั่งของว่าง เบียร์ มาก่อน แล้วก็สั่งเมนคอร์ส ในระหว่างที่รอให้เมนคอร์สมาเสิร์ฟ ก็มีการกล่าวขอบคุณพนักงานในความอุทิศและเสียสละให้กับบริษัท และชื่นชมว่าพวกเรามีคุณค่าคุโณปการกับบริษัทมากขนาดไหน บลา บลา บลา (ฝรั่งส่วนใหญ่ปากหวาน) แล้วก็มอบรางวัล

ของรางวัลที่เขาให้มี ๓ ชิ้น ใส่ในกล่องพลาสติกติดสติกเกอร์พิมพ์ชื่อเราสวยงาม นอกจากจี้หรือเข็มที่เป็นทองแล้ว ก็มีประกาศนียบัตรให้ด้วย ๒ ใบ ใบใหญ่เป็นตัวจริงเขาทำเป็นม้วนมีริบบิ้นผูกอย่างกับจบหลักสูตรอะไรแหนะ แล้วมีก็อปปี้เป็นใบเล็กใส่ในกรอบรูปให้ด้วย คงกะให้เอาไว้ตั้งโชว์ที่ออฟฟิศ คนป๋าหมากอย่างเราก็ถามพี่ที่นั่งข้างๆ ว่า แล้วนี่เราต้องเอาประกาศนียบัตรใบใหญ่นี่ไปใส่กรอบเองเหรอ(วะ) พี่เขาก็หัวเราะหึๆ (ตอนนี้ประกาศนียบัตรที่ว่ามันนอนแอ้งแม้งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวสารพัดประโยชน์ที่คอนโดเรา ขนาดปริญญาเราเรายังเอาเก็บไว้ที่ลิ้นชักไหนไม่รู้เลยอ่ะ แล้วนี่แค่ประกาศนียบัตรทำงานครบห้าปี อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้ากรอบ)

นายเราเขาไม่เคยเห็นของรางวัลที่บริษัทแจกมาก่อนเพราะ HR เป็นคนจัดการ พอดีเขานั่งข้างเรา เราก็เลยเอาให้เขาดู เขาบอกว่าเราได้ของดีกว่าที่เขาได้ตั้งเยอะ เราก็บอกว่าแหงหละ เรารอมาตั้งปีกว่านะกว่าจะได้อ่ะ เขาบอกว่า แหมๆ เคยได้ยินไหม Just the thought that counts เราก็อือๆ ไปงั้นเอง พี่ที่นั่งข้างๆ เราบอกว่า นี่ดีนะว่าเขาแจกทอง ถ้าแจกเป็นของที่มันเน่าเสียได้หรือมีวันหมดอายุคงต้องทำของใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก นายเราบอกว่าที่แคนซัส ทำงานครบห้าปีเขาได้เข็มกลัดเน็คไท ครบสิบปีได้ชุดปากกาดินสอ ครบสิบห้าปีได้นาฬิกาตั้งโต๊ะ เขาบอกว่าอย่าให้คนที่แคนซัสรู้นะว่าเราได้อะไรตอนครบห้าปีนะ เขาต้องอิจฉาแน่ เราเลยบอกว่าถ้าเขารู้แล้วอิจฉา เราจะแนบสลิปเงินเดือนไปให้เขาดูด้วย จะได้รู้ว่าคนที่ได้ของรางวัลสวยๆ ทุกๆ ๕ ปีหนะ เขาได้เงินเดือนน้อยๆ ทุกๆ เดือน นายเราก็เลยไม่พูดอะไรต่อ (อิอิ)

หลังจากมอบของรางวัลแล้วก็อาหารก็มาเสิร์ฟ ก็กินๆ คุยๆ เรื่องสัพเพเหระ มีอยู่ตอนหนึ่งเราได้จังหวะ เลยบ่นเรื่องวันหยุดพักร้อนไป เราบอกว่าคนที่แคนซัสพอทำงานครบห้าปี จะได้วันลาพักร้อนเพิ่มขึ้นปีละวันทุกๆ ปี (ปีที่หกมีวันลาพักร้อน ๑๑ วัน ปีที่เจ็ด ๑๒ วัน … พอปีที่สิบก็ได้วันลา ๑๕ วัน) แต่ที่ออฟฟิศที่กรุงเทพฯ ไม่ได้วันลาเพิ่ม ต้องรอให้ทำงานครบสิบปี ถึงจะได้วันลา ๑๕ วัน เราบอกว่าเราขาดทุน นายเราเขาบอกว่า อืมม์ ขาดทุนไป ๕ วัน เรารีบเถียงว่า ไม่ใช่ มากกว่านั้น เพราะมันสะสมทุกปี แล้วก็นับให้เขา ๑+๒+๓+๔+๕=๑๕ วัน สิบห้าวันแหนะ แล้วเราก็ปรายตาไปยังนายใหญ่อีกคนที่นั่งตรงกันข้ามเรา เขาก็พยักหน้าหงึกๆ ว่า Hmmm... good question (เวลาฝรั่งตอบแบบนี้ รู้ได้เลยว่าคำถามที่เราถามหนะ มัน bad question และเขาตอบไม่ได้หรือไม่อยากตอบ) แล้วก็บอกว่าเขาจะลองเอาไปพิจารณาดู เราก็บอกว่า ดีๆ แต่นายเราพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า อย่าไปหวังกับมันมาก (don't hold your breath) เราอยู่บริษัทนี้มานาน คงรู้ว่าอะไรๆ กว่ามันจะเกิดจะเปลี่ยนแปลงได้มันใช้เวลานานมาก (เขาใช้เวลาประมาณ ๕ ปีกว่าจะทำให้พนักงานได้รับ Provident Fund หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) เราบอกว่า เรารู้ดี และบางทีมันอาจจะไม่แตกต่าง กว่าที่เขาจะจัดการแก้กฏเรื่องนี้สำเร็จ เราคงมีอายุงานมากกว่า ๑๐ ปี พอถึงตอนนั้น เราก็ได้วันลา ๑๕ วันไปแล้ว (ประชด) นายเราเขาก็เลยไม่พูดอะไรต่ออีก (อิอิ)

งานเลี้ยงที่บริษัทเรามักจะค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะแต่ละคนเขาไม่ค่อยชอบคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน เราจะทนงานสังสรรค์แบบนี้ได้ไม่นาน อย่างงานที่ผ่านมาพอซักใกล้ๆ สองทุ่มเราก็อยากกลับแล้ว (ที่จริงอยากกลับตั้งแต่ตอนได้ของราวัลแล้ว อิอิ) พอดีมีคนหนึ่งเขาขอตัวกลับ เราก็เลยตามน้ำขอกลับด้วย แล้วที่เหลือก็เลยทยอยๆ กันกลับหมด เขาอุตส่าห์บอกว่าให้จัดงานตอนเย็นจะได้ไม่ต้องรีบร้อนกัน แต่พอเอาเข้าจริงก็อยู่กันได้แค่ประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้นเอง เรากลับถึงบ้านสองทุ่มกว่า อาบน้ำแล้วพุ่งขึ้นเตียง เพราะเหนื่อยนรกจากงานไร้สมองกับปัญหาไร้สาระ