Debt No. 1: ขโมยขนม
เรามีเรื่องติดค้างที่ว่าจะเขียนหลายเรื่องมากๆ วันก่อนโน้นคุยกับน้องที่ Purdue เขาก็ถามว่าเมื่อไหร่จะเล่าเรื่องสมัยเด็กๆ อีก ไปเมาท์กับพี่ปุ๊กก็ดันไปบอกว่าจะเล่าเรื่องตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นให้ฟัง พออ่านเรื่องกลัวตายของหมู ก็ดันไปบอกว่าเรามีเรื่องจะเล่าเหมือนกัน (กลัวตาย อยู่คนเดียว ขโมยขนม ปาเข้าไป ๓ เรื่อง) สรุปว่ารับปากมั่วซั่วไปหมดเลยอ่ะ (เวร!) ตะแรกเราคิดว่าจะเล่าแบบ First thing first.. คือ ติดอะไรใครไว้ก่อน ก็เล่าก่อน แต่เปลี่ยนใจ เอาเป็นแบบประหยัดสุดประโยชน์สูงดีกว่า คือเล่าเรื่องที่ทำให้ใช้หนี้ได้เยอะๆ ดีกว่า

ตอนเด็กๆ สมัยที่เราเรียนที่วัดแก้ว มีร้านขายขนมอยู่ ๒ ร้านอยู่คนละฝั่งกันของสนามฟุตบอล เวลาเราเดินจากบ้านไปโรงเรียนก็จะเดินข้ามสะพานไป (อย่างที่เล่าไปแล้วว่าบ้านเราอยู่ติดริมน้ำ อยู่ตรงข้ามวัดแก้ว) ตรงริมน้ำข้างๆ สะพานมีร้านขนมร้านหนึ่ง คนขายชื่อเจ๊ไล้ก็เลยเรียกว่า ร้านเจ๊ไล้ เขาขายผลไม้ดอง หวานเย็น ทอฟฟี่ ขนมซองๆ ปลาหมึก ปลาหวาน ขนมหลอกเด็กสารพัด เดินตามถนนรอบสนานฟุตบอลไปจนถึงเพิงที่เป็นห้องเรียนเรา ลานว่างๆ หน้าห้องเรียนจะมีร้านขนมอีกร้านหนึ่ง คนขายชื่อเจ๊เล็ก ก็เลยเรียกว่าร้านเจ๊เล็ก ร้านนี้ก็จะขายขนมคล้ายๆ ร้านเจ๊ไล้ แต่รู้สึกจะไม่มีหวานเย็น

ตอนเด็กๆ เราชอบทอฟฟี่เหนียวๆ แบบที่ห่อเป็นแท่งสี่เหลี่ยมๆ พอแกะออกมาข้างในจะมีทอฟฟี่สี่เหลี่ยม (คล้ายๆ ซูกัส แต่เป็นสี่เหลี่ยมผีนผ้า) เล็กๆ หลายๆ อัน มี ๒ รสคือ สีชมพูปนเหลืองจะเป็นรสเปรี้ยวๆ กับสีน้ำตาลปนขาว จะเป็นรสชอกโกแลตซ่าๆ เราชอบรสเปรี้ยวมากกว่า แต่ถ้ามันหมดรสชอกก็โอเค เวลาเราซื้อท๊อฟฟี่แบบนี้ เราจะซื้อที่ร้านเจ๊เล็ก เพราะมันใกล้ห้องเรียน และจะซื้อทีละ ๒ แท่ง แล้วเราก็เคยโกงเขาด้วยหละ แบบว่าเราหยิบเกินมาแท่งหนึ่ง ตอนไปจ่ายตังค์เราก็แบมือให้คนเขาดูว่าหยิบมา ๒ อันนะ ส่วนอันที่โกงมาก็ถือไว้อีกมือหนึ่งและเอาซ่อนไว้ข้างหลัง เจ๊เล็กเขาก็ไม่รู้ พอมาอีกวันหนึ่ง เราก็ทำแบบเดิมอีก เขาก็ถามว่า ไหนซื้อกี่อัน เราก็แบบมือให้เขาดู เขาก็ถามว่า แล้วอีกมือหนึ่งล่ะ เราก็ตกกะใจ โอ๊ย!! ทำไงดีฟะ แล้วเราก็ยอมเอามืออีกข้างหนึ่งออกมาให้เขาดู เขาก็เลยเห็นว่าเราโกง ชิบเป๋ง… โดนจับได้ตาหนังคาเขาเลย (ฝรั่งเขาเรียกว่า being caught red-handed) จำไม่ได้แล้วหละว่าเราเอาขนมคืนเขาไป หรือจ่ายเงินเพิ่มให้เขา จำได้อย่างเดียวว่าอายๆๆๆ รู้สึกผิดๆๆๆๆ

เราไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเพราะอายมากๆ แต่รู้สึกว่าเจ๊เล็กเขาจะไปเล่าให้เก๋พี่สาวเราฟังด้วย เก๋เคยมาถามๆ เราเหมือนกัน แต่เราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่อยากเล่าไม่อยากพูดถึง แต่ตั้งแต่นั้นมาก็เข็ดเหลือเกิน ไม่กล้าโกงใครอีก (อืมม์ ที่จริงก็เคยโกงอีกเหมือนกันแฮะ เช่น โกงค่ารถไฟตอนอยู่ลาดกระบัง แบบว่านั่งเกินป้ายไง ซื้อตั๋วแค่คลองตัน แต่จริงๆ นั่งคุยกับเพื่อนไปจนถึงมักกะสัน เคยโกงค่ารถตอนไปเที่ยวซานฟรานด้วย คือเราซื้อตั๋ว ๓ วัน แต่แอบใช้ ๔ วันอ่ะ :P แต่ตอนโตแล้ว เราจะระวังไม่ให้โดนจับได้ด้วยวิธีซื่อๆ แบบนั้นอีกไง โกงได้แนบเนียนขึ้น แต่ที่จริงไม่ดีหรอก มันไม่สบายใจหรอก ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวโดนจับได้ตลอดเวลา สรุปว่าไม่ควรโกง!!)

วันก่อนเราคุยกับแม่ แม่บอกว่าตอนเด็กๆ ได้ค่าขนมไปโรงเรียน ๒๐ สตางค์ ที่จำได้แม่น เพราะเวลาที่อาม่า (แม่ของแม่) ไม่ว่าง แม่ก็จะหยิบสตางค์เอง แล้วก็จะแอบหยิบเกิน เราก็เลยขำ บอกแม่ว่า เด็กๆ นี่เหมือนๆ กันหมดเลยมั้ง เพราะตอนเด็กๆ เราก็เคยแอบหยิบเงินเกินเหมือนกัน แม่บอกต่ออีกว่า เวลาไปซื้อท๊อฟฟีแม่เคยจิ๊กของเขามาด้วย คนขายเขาไม่รู้หรอก เราไม่ได้เล่าเรื่องข้างบนให้แม่ฟังหรอก เพราะยังอายอยู่ (แต่ดันมาเล่าให้คนทั้ง Cyberspace ฟัง!! ก็เรายังอยากมีภาพพจน์เป็นลูกที่ดีในสายตาแม่อ่ะนะ คนใน Cyberspace นี่ไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไหร่ ไม่ต้องรักษาภาพพจน์) แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่งว่า "อาชญากรรม" ที่เราเคยก่อไว้ มันก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่เราเคยคิด คือมันก็ผิดและไม่ควรทำอ่ะนะ แต่ก็ไม่ใช่มีแต่เราคนเดียวก้าวพลาดไป

ตกลงวันนี้ใช้หนี้ได้ ๒ เรื่อง คือเรื่องสมัยเด็กๆ กับเรื่องขโมยขนม… ไชโย!! (^o^)/