Static Short (Circuit)
วันนี้หมูมาถามในเว็บบอร์ดว่า ทำยังไงถึงจะไม่ให้ไฟฟ้าสถิตช๊อต เราก็คิดว่าอุตส่าห์แนะนำไปแล้วว่าให้ทาครีมเยอะๆ แต่มานึกอีกที อ้าว... นั่นมันวิธีแก้ paper cut ตะหากวุ้ย (สรุปว่า สำหรับนิจวรรณ ผิวแห้งเป็นสาเหตุของทุกอย่าง ตั้งแต่โดนกระดาษบาด โดนไฟฟ้าสถิตดูด รวมไปถึงการไม่มีคนสนใจจนต้องขึ้นคาน … อ้าว ไม่เกี่ยวกันใช่ไหมเนี่ย??)

เรื่องไฟฟ้าสถิตเนี่ย คนที่ไม่เคยเจอไม่รู้หรอกนะว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน ตอนที่เราไปอยู่ที่อังกฤษก็รู้สึกว่ามันเยอะแล้วนะ จะเป็นเวลาหน้าหนาวอากาศแห้งๆ เวลาเราไปจับอะไรที่เป็นโลหะ มันจะรู้สึกว่าโดนไฟดูด หรือเวลาหวีผม หวีเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เรียบ มันจะฟูๆ ชี้ๆ ขึ้นมาตามหวี (ไม่ใช่ผมเราห่วยนะ เพราะตอนหน้าร้อนไม่เป็น) มีอยู่ครั้งนึงที่รู้สึกว่าแรงมาก คือ เรานั่งกินข้าวอยู่ในครัว แล้วพอจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ แบบเหมือนมีประจุวิ่งผ่านอ่ะ นั่นคือประสบการณ์ที่อังกฤษ

แต่ตอนที่เราไปอเมริกานี่แย่กว่ามาก คงเป็นเพราะอากาศมันแห้งกว่า (อังกฤษเป็นเกาะ ความชื้นจะเยอะกว่า) และหนาวกว่า เราโดนไฟฟ้าสถิตดูดเยอะมาก จับอะไรที่เป็นโลหะจะได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆ ตลอด ตอนแรกๆ ก็ตกใจ (และเจ็บ) ตอนหลังๆ ออกอาการผวา เวลาเราจะจับอะไรที่เป็นโลหะ จะต้องเอามือไปแตะๆ มันก่อน แล้วรีบดึงกลับ เราก็จะโดนไฟดูดๆ อ่ะนะ แต่นิดเดียวแล้ว จะเรียกว่าเป็นการอุ่นเครื่อง เตรียมใจ หรือการ balance ประจุไฟฟ้าในร่างกายเรากับในโลหะก็ตามที พอตอนต้องจับโลหะนั้นจริง ก็จะโดนดูดอีกอ่ะนะ แต่มันจะเบาๆ ไม่เหมือนจับโครมเข้าไปเลย แบบนั้นโดดดูดสะดุ้งเฮือกไปเลย

ไฟฟ้าสถิตทำให้พฤติกรรมเราเปลี่ยนไป เช่น เวลาจะเปิดประตูตามห้างสรรพสินค้า (คนอเมริกันเขาเรียกว่า Mall มันเป็นร้านเล็กๆ หลายๆ ร้านอยู่รวมกันมากกว่าที่จะเป็นห้างใหญ่ๆ ขาย "สรรพสินค้า" แบบเซ็นทรัล เดอะมอลล์) เราจะเกลียดประตูที่มันต้องดึงมาก เพราะต้องจับมือจับที่เป็นโลหะ (ประเทศเมืองหนาวนี่ก็แย่นะ ประตูสองชั้นสามชั้น) เวลาจะเปิดประตูก็จะหดมือเข้าไปในแขนเสื้อแจ็กเก็ต แล้วค่อยจับผ่านผ้า เพื่อไม่ให้โดนดูด ถ้าเป็นประตูแบบผลักจะดีกว่า เพราะดุนไปทีเดียวมันก็เปิดแล้ว ยิ่งเป็นเป็นประตูกระจกยิ่งดี เราก็ผลักตรงที่มันเป็นกระจกแทน ปกติเราจะไม่ชอบเวลาที่เห็นประตูหรือหน้าต่างกระจกที่มีรอยมือคนเลอะๆ นะ แบบว่า อยากให้เช็ดๆ ให้มันใสปิ๊ง แต่ตอนอยู่อเมริกา เราฝากรอยมือไว้ตามประตูกระจกเพียบเลย แบบว่าไม่สนแล้วอ่ะ ไม่อยากโดนไฟดูด

อีกตอนหนึ่งที่เราโดนไฟฟ้สถิตดูดเยอะ ก็คือ ตอนขึ้นลงรถ เวลาจะไขกุญแจประตูรถนี่ต้องตั้งสติมากเลยนะ ไขเสร็จก็ต้องค่อยๆ เปิด เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเราไขกุญแจเปิดกระโปรงท้ายรถ ตอนดึงกุญแจออกจากรู เห็นกับตาเลยว่ามีประกายไฟวิ่งออกมา ยังดีที่ลูกกุญแจมันมีที่หุ้มเป็นพลาสติกอ่ะ เวลาลงจากรถจะปิดประตูก็มีพิธีกรรมแตะๆ ด้วยเหมือนกัน หรือไม่ก็เล็งตรงกระจก แล้วผลักโครมให้มันปิด (กระจกรถเราก็มีรอยมือเต็มเหมือนกัน) ตอนกลับมาเมืองไทย เราใช้เวลาอยู่นานเหมือนกัน กว่าจะชินว่า ประตูรถหรือประตูลูกบิดเนี่ยจับได้เลย ไม่ต้องแตะๆ ก่อน

เราไม่เคยคิดว่าการโดนไฟฟ้าสถิตดูด มันเป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องแปลกจนต้องเล่าให้ใครฟัง คือมันก็แปลกๆ ดีเพราะเราไม่ค่อยโดนที่เมืองไทย (นอกจากเวลาใส่รองเท้าบางคู่ ที่เป็นหนังแล้วมันเสียดสีกับพรมเวลาเดินลากๆ เท้า เราก็จะโดนไฟดูดบ้างแต่เล็กน้อยมาก) แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่รู้คุยกับเตี่ยเรื่องอะไร แล้วก็เล่าไปถึงว่าโดนไฟดูดบ่อยๆ เตี่ยก็ฟังๆ ไม่ได้ว่าอะไร แต่ตอนหลังเก๋(พี่สาว)มาถามเราเรื่องนี้ บอกว่าเตี่ยเล่าให้ฟัง เราก็แบบ อืมม์ เรื่องบางเรื่องเราที่เราไปเจอที่ต่างประเทศ มันไม่มีในเมืองไทยก็คิดว่ามันก็งั้นๆ แต่ปรากฏว่า มันก็เป็นเรื่องเล่าได้เหมือนกัน (ความจริงจะว่าไปต้องโทษการเป็นเด็กต่างจังหวัด กับการชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่ทำให้เราเป็นคนชินชากับความแตกต่างขนาดนี้ คือเวลาเป็นเด็กต่างจังหวัด มันจะเจออะไรๆ ที่เด็กกรุงเทพไม่เคยเจอ พอเจอความแปลกๆ แตกต่างๆ เข้าบ่อยๆ มันก็กลายเป็นไร้ความตื่นเต้น ส่วนที่ชอบดูหนังนี่ก็ทำให้เราพอจะนึกภาพออกก่อนแล้วว่า ชีวิตต่างประเทศมันเป็นยังไง ข้อดีก็คือเราไม่ค่อยมีปัญหาในการปรับตัว ข้อเสียก็คือมันทำให้เรามองข้ามอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไปหมด)

อ้าว.. เฮ้ย ไปไกลอีกแล้ว ยังมีเรื่องไฟดูดอีก ตอนสมัยที่เรายังเรียนปริญญาตรี เราเคยไปทัวร์ยุโรปกับเก๋และเพื่อนเก๋ (ตอนนั้นมันส์มากไปกันเอง ๓ สาว ซื้อทัวร์ของอังกฤษ กับตั๋วเครื่องบินต่างหาก เราบินไปรวมกลุ่มกับลูกทัวร์คนอื่นๆ ที่ลอนดอน จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นไปหลอกเตี่ยกับแม่ไว้ว่าไงเขาถึงยอมใหไปแบบนั้นได้) ตอนที่อยู่ที่ปารีสวันสุดท้าย เราไปช็อปปิ้งน้ำหอมกัน ที่ร้านน้ำหอมมีพนักงานเป็นคนไทยด้วย รู้สึกเขาจะชื่อ "พี่จุ๋ม" เขาคล่องมาก แบบหยิบโน่นหยิบนี่มาให้ดู แถมบรรยายสรรพคุณเสียทุกอย่างน่าซื้อไปหมด (อันนี้นะคะดีมากๆ แม่พี่เอาไปใช้บำรุงแล้ว บอกเพื่อนชมว่า ยั๊ง ยังค่ะ -- หมายถึงว่า Young.. young อ่ะนะ)

ตอนพี่จุ๋มเอาน้ำหอมเครื่องสำอางค์มาให้เราดู ก็จะโดนมือแก เรารู้สึกเหมือนโดนไฟดูด ตอนแรกก็คิดว่าคิดไปเอง หรือคิดว่าโดนดูดมาจากตู้เครื่องสำอางค์ที่เขาติดไฟสว่างๆ อ่ะนะ แต่พอตอนเราไปยืนตรงอื่นก็ไม่โดน พอตอนหลังมาคุยกันเอง เราก็ถามๆ กันว่า เนี่ยเรารู้สึกว่าเหมือนพี่จุ๋มเขามีไฟฟ้านะ โดนแล้วมันดูดๆ ยังไงชอบกล ถึงได้รู้ว่าเก๋ก็รู้สึกเหมือนกัน ก็เลยเรียกแกว่า พี่จุ๋มไฟแรงสูง ตั้งแต่นั้นมา เราเคยไปที่ร้านนั้นอีกครั้งหนึ่งสองสามปีต่อมา (ตอนที่ไปเรียนที่อังกฤษแล้ว) พี่จุ๋มไฟแรงสูงก็ยังเป็นพนักงานอยู่ที่นั่น