Life more ordinary
เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับลัทธิเต๋ากับหมีพูห์ (The Tao of Pooh) คนเขียนเป็นฝรั่ง เขาบอกว่า ศาสนาพุทธมองชีวิตเป็นเรื่องของความทุกข์ เราว่ามันก็จริงนะ มองชีวิตคนทั่วๆ ไป เห็นมีแต่คนเป็นทุกข์ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง คนที่ยากจนหาเช้ากินค่ำ ก็เป็นทุกข์ไม่มีจะกินมีรายได้ไม่พอใช้ คนที่มีฐานะดีขึ้นมาหน่อย ไม่มีปัญหาเรื่องว่าวันนี้จะเอาอะไรกิน ก็มีทุกข์อยากจะสบายกว่านี้ อยากจะกินอาหารดีๆ แพงๆ อยากจะอยู่บ้านดีๆ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเยอะแยะ พอได้มีชีวิตที่สะดวกสบาย ก็ยังไม่มีความสุขอีก เกิดความต้องการทางสังคม อยากได้ความรัก อยากให้คนยอมรับ อยากมีชื่อเสียง อยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ อยากฯลฯ ก็เลยทุกข์อีก พอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ เป็นที่ยอมรับของสังคม ก็ยังมีกิเลสต่อ เกิดความต้องการในการยอมรับตัวเอง อยากเป็นคนเก่ง อยากฯลฯ

จะว่าไปความทุกข์แบบนี้มันก็เป็นไปตามปิระมิดของอะไรซักอย่าง (จำชื่อไม่ได้) ที่ว่าคนเราจะมีความต้องการเป็นลำดับขั้นไปเรื่อยๆ เริ่มจากความต้องการทางกายภาพอย่างอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ต่อมาก็เป็นการยอมรับจากทางสังคม และสูงสุดคือการยอมรับตัวเอง (อันสุดท้ายนี่มีคนยกตัวอย่างง่ายๆ ก็อย่างนายกของไทยคนปัจจุบัน เขามีหมดแล้วทุกอย่าง ทั้งรวยขนาดเป็นพันล้าน ไม่น่าจะอยากได้อะไรแล้ว คนอื่นๆ ก็ยอมรับเขาจนไม่รู้จะยอมรับยังไง เพราะฉะนั้นที่ยังทุรนทุราย อยู่ทุกวันนี้อยากทำโน่นทำนี่ก็น่าจะเป็นเพื่อพิสูจน์ตัวเอง คือสนองความอยากของตัวเอง) ถ้ามองทางพุทธก็จะเป็นว่า ไม่ว่าความต้องการในระดับใดๆ ก็ตามถ้าไม่สามารถตอบสนองได้ มันก็เป็นทุกข์ ระดับล่างๆ ของปิระมิดก็ตอบสนองง่ายหน่อย พอขึ้นมาที่ระดับบนๆ มันจะแก้ยาก เพราะเป็นความทุกข์คนอื่นแก้ให้ไม่ได้ แต่ตัวเองต้องแก้เอง ต้องคิดให้ตกเอง ในทางพุทธเนี่ยเขาจะแนะนำว่ามองให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติ คือชีวิตมันต้องทุกข์อยู่แล้ว เป็นธรรมชาติ แล้วมันก็จะไม่ทุกข์ไปเอง

ฝรั่งคนที่เขาเขียนเรื่องเต๋ากับพูห์เขาบอกว่า ความคิดแบบเต๋า ไม่ได้มองชีวิตเป็นความทุกข์ แต่มองว่าการมีชีวิตเป็นความสุขความรื่นรมย์ ในขณะที่คนส่วนใหญ่พยายามมองหาไขว่คว้าความสุขจากที่ต่างๆ เต๋ากลับสอนว่าความสุขมีอยู่ทุกที่ แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะ appreciate มัน นอกจากนี้แล้วเขายังให้มองว่าคนที่จะมีความสุขได้ จิตใจจะต้องใสสะอาด ไม่มัวหมองไปด้วยอคติต่างๆ เขาบอกว่าเขาบอกว่าการดำเนินชีวิตแบบหมีพูห์ป็นแนวคิดแบบเต๋า เขาบอกว่า บางทีคนจะมองว่าพูห์ชอบทำตัวไร้สาระ ไม่ฉลาด คิดอะไรแปลกๆ แต่กลับกลายเป็นพระเอกของเรื่องได้ เพราะ พูห์เป็นหมีที่มีความสุขทุกวัน และเป็นหมีที่มีจิตใจใสสะอาด มองโลกด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่เหมือนนกฮูกที่ฉลาดเกินไป ไม่มีความสุข เพราะคิดโน่นคิดนี่วุ่นวาย

ระหว่างที่เขียนนี่ก็นึกถึงเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมา เกี่ยวกับ ชาวประมงกับนักธรุกิจ น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว คือ มีนักธุรกิจเขาไปเจอชาวประมงที่มีเรือลำเล็กๆ จับกุ้งจับปลามาขายไป เหลือก็เอาไว้กิน ตกเย็นก็นั่งกินเหล้าเล่นกีตาร์ คุยเล่นเฮฮากับลูกกับเมีย นักธุรกิจก็เลยแนะนำว่า ชาวประมงไม่น่าจะมากินเหล้าเล่นกีตาร์ น่าจะขยันกว่านี้จะได้จับปลาได้เยอะๆ ชาวประมงก็ถามว่าจับปลาได้เยอะๆ แล้วจะเอาไปทำอะไร เขาก็กินไม่มาก นักธุรกิจบอกว่าก็ให้เอาไปขายจะได้มีเงินเยอะๆ ชาวประมงก็ถามว่ามีเงินเยอะๆ เอาไปทำอะไรล่ะ นักธุรกิจก็บอกว่า ก็เอาเงินไปซื้อเรือลำใหญ่ขึ้นไง แล้วจะได้จับปลาได้มากขึ้นอีก ก็จะขายปลาได้มาก มีเงินเยอะๆขึ้นไปอีก ชาวประมงก็ถามว่ามีเงินมากขึ้นแล้วไง นักธุรกิจบอกว่า มีเงินแล้วก็จะได้เกษียณตัวเองไม่ต้องทำงานเป็นชาวประมงอีกต่อไป และมีเงินมากพอที่จะไปซื้อบ้านสวยๆ ชายทะเล ไว้อยู่พักผ่อนกับลูกกับเมีย ถ้าจะไปตกปลาก็เป็นแค่เพื่อความบันเทิง พอแดดร่มลมตกตอนเย็นๆ ก็มานั่งหน้าบ้าน กินเหล้าเล่นกีตาร์สบายใจเฉิบ ชาวประมงก็เลยตอบไปว่า ก็ตอนนี้เขาก็กำลังทำอย่างที่นักธุรกิจบรรยายอยู่ไง เหมือนกันเด๊ะเลย ฟังเรื่องนี้แล้วเราว่า ชาวประมงนี่คิดอย่างเต๋าแท้ๆ เลย ส่วนนักธรุกิจก็ไขว่คว้าหาความสุขไปเหมือนหมาวิ่งไล่งับหางตัวเอง

กลับมาที่เรื่องเต๋ากับพูห์อีกที เรารู้สึกว่าคนเขียนเขาเชียร์แนวคิดแบบเต๋ามากๆ และคิดว่าแนวคิดแบบพุทธที่ว่า ชีวิตเกิดมามีทุกข์ทำให้คนใช้ชีวิตอย่างขมขื่น แต่เรากลับรู้สึกแย้งๆ อยู่นหน่อยๆ คือ ถ้าเราทำใจให้ดำเนินไปด้วยวิถีแห่งเต๋าได้ตลอดเวลามันก็คงดีและเต๋าก็คงเป็น Perfect Solution ของการดำเนินชีวิต แต่เราว่าคิดว่าเต๋าอย่างเดียวมันทำได้ยาก คนธรรมดาที่ไหนจะสามารถมองทุกอย่างเป็นความสุขได้ทุกขณะทุกอารมณ์ เพราะฉะนั้นเราเลยรู้สึกว่าแนวคิดแบบพุทธก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะไม่ใช่ว่าเรารู้ว่าชีวิตมีแต่ทุกข์แล้ว จะหมายถึงว่าให้จมกับทุกข์นั้นไปตลอด แต่ให้ยอมรับความมีอยู่ของมัน เมื่อไหร่ที่ยอมรับได้ ความรู้สึกว่าทุกข์มันก็จะน้อยลง (อันนี้คือมุมมองของเราเองนะ เราไม่ใช่คนศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนา) น่าจะเอามาใช้เป็นส่วนที่ compensate กับเต๋าได้ดี

ทุกวันนี้ เวลาที่เราเซ็งๆ หรือทุกข์ใจ เราก็จะลองคิดถึงการหาความสุขกับเรื่องง่ายๆ ในชีวิต อย่างการอยู่กับบ้านอ่านหนังสือดีๆ แกล้มกาแฟอร่อยๆ ก็ทำให้สุขขึ้นมาได้ การได้ไปดูหนังดีๆ ซักเรื่อง ก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งจากเรื่องหนักๆ ที่เป็นกังวลใจ หรือการได้กินข้าวนั่งคุยกับคนรู้ใจซักมื้อก็ทำให้คลายเบื่อได้บ้าง แต่ถ้ามันยังไม่หายเราก็จะพยายามหยุดอยู่นิ่งๆ ซักพักหนึ่ง พยายามมองให้เห็นว่าความเซ็งหรือความทุกข์ใจไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม มันไม่ใช่สิ่งที่ผิดธรรมชาติ มันเกิดขึ้นมาตลอดเวลาแต่ใช่ว่ามันจะอยู่ตลอดไป ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะคิดได้ แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เกินทน

เราสรุปเอาเองว่าพยายามมีความสุขอย่างเต๋า และยอมรับความทุกข์อย่างพุทธ เป็นหนทางการดำเนินชีวิตที่เหมาะสำหรับคนนิยมชีวิตราบเรียบอย่างเราเป็นที่สุด