The Moviesssssss...
เมื่อวานไปดูหนังที่ Lido สยามสแควร์มา ปกติเราไม่ค่อยได้เข้าไปในเมืองซักเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้หนังในโรงหนังแถวๆ บ้านหรือที่ทำงานมันไม่ค่อยน่าสนใจเลย ล่าสุดเราไปดู Bad Company มา ก่อนหน้านั้นเราไปดู Murder By Numbers มา เราชอบพระเอกเรื่องนี้อ่ะ เขาชื่อ Ben Chaplin เป็นคนที่เล่นเรื่อง The Thin Red Line ซึ่งเป็นหนังสงครามที่ออกฉายพร้อมๆ กับ Saving Private Ryan ปรากฏว่ามีคน (ซึ่งคงไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้) ด่าหนังเรื่องนี้ว่าเลียนแบบ Saving Private Ryan แต่ความจริงแล้วมันเป็นหนังสงครามเหมือนกัน แต่เสนอมุมมองคนละขั้วเลย (Saving Private Ryan จะออกแนววีรบุรุษที่ทำเพื่อคนอื่น สร้างวีรกรรม แต่ใน The Thin Red Line มีทั้งคนที่หนีทหารเพราะไม่อยากฆ่าคนอื่น คนที่กลัวการรบจนลนลาน ฯลฯ) หนังออกแนวเซอร์ๆ หน่อยๆ ถ่ายภาพสวยมาก และใช้เสียงคนบรรยาย (Narrator) ไปตลอดเรื่อง “อดีต Target” ของเราบอกว่า ชอบหนังเรื่องนี้มาก (the only thing we have in common?) เขาบอกว่าดูหนังเรื่องนี้เหมือนอ่านบทกวี แต่จะว่าไปมันก็แล้วแต่คนนะ หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังประเภทที่คนดูจะ “ชอบมากๆ” หรือไม่ก็ “ไม่ชอบมากๆ” ไม่ค่อยมีคนที่อยู่ตรงกลางๆ

The Thin Red Line นี่มีดาราเล่นเยอะมากๆ แต่ดาราดังๆ จะได้บทกันคนละนิดละหน่อย (แต่เขาว่าก็เต็มใจกันหมดนะ เพราะอยากทำงานกะตา Terry Malick ผู้กำกับ ประมาณว่าเขาเจ๋งมาก แต่เขาหยุดทำหนังไป 20 ปีก่อนที่จะกลับมาทำ The Thin Red Line ใครๆ ก็เลยอยากร่วมงานด้วยอ่ะนะ) ดาราที่ได้บทหลักๆ กลับเป็นดาราหน้าใหม่ อย่าง Ben Chaplin กับ Jim Caviezel ที่เราก็กรี๊ดเหมือนกัน ตอนที่เราดู The Thin Red Line เราก็คิดว่า 2 คนนี้จะต้องดังแน่ๆ แต่ปรากฏว่าต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเริ่มเห็นงานแสดงของเขามากขึ้น Ben Chaplin นี่ก่อนหน้า Murder By Numbers เขาเพิ่งเล่นเรื่อง Birthday Girl กับ Nicole Kidman แต่ไม่เห็นเข้าฉายในเมืองไทย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้ซื้อเข้ามาฉายหรือว่าไง

ส่วน Jim Caviezel นี่คือคนที่เล่นเรื่อง Frequency กับ Dennis Quaid ไง ที่เป็นเรื่องของตำรวจที่สามารถติดต่อกับพ่อตัวเองในอดีต ผ่านวิทยุสมัครเล่นที่เรียกว่า Ham Radio เรื่องนี้เราก็ชอบเหมือนกัน ล่าสุดที่เราไปดูหนังที่ Jim เล่นคือเรื่อง The Count of Monte Cristo (ทำจากหนังสือของ Alexander Dumas) เราไปดูโดยไม่รู้ว่าขวัญใจเราเล่น อยากดูเพราะเคยได้ยินชื่อหนังสือในหนังเรื่อง Sleepers (ที่มี Brad Pitt, Jason Patric เล่นเป็นเด็กที่ถูกขังในสถานพินิจ แล้วโดนผู้คุม (ผู้ชาย) ข่มขืนและทำร้ายร่างกาย ตอนหลังออกมาได้ โตเป็นผู้ใหญมีการมีงานทำแล้ว ก็กลับมาแก้แค้นผู้คุม เขาบอกว่าที่คิดแก้แค้นเพราะตอนอยู่ในสถานพินิจแล้วได้อ่านเรื่อง The Count of Monte Cristo) เรื่อง The Count นี่โดยรวมๆ ก็ดูสนุกนะ แต่เราไม่ค่อยชอบไอเดียของเรื่องเท่าไหร่ พระเอกเขาโดนเพื่อนหักหลัง ถูกส่งไปขังคุกกลางทะเลสิบกว่าปี แถมโดนเพื่อนแย่งเมียไปด้วย ระหว่างที่อยู่ในคุกก็เลยหัดเรียนรู้วิชาต่างๆ ทั้งการต่อสู้และวิชาการ แล้วหนีออกจากคุกมาแก้แค้นเพื่อน เราว่ามันดูเป็นคนเคียดแค้นและไม่ให้อภัยยังไงไม่รู้ แต่ความที่พระเอกหล่อก็เลยดูไปด้วยความบันเทิง :)

เมื่อวานเราได้เห็นหนังตัวอย่างเรื่องใหม่ ที่ Jim เล่นกับ Ashley Judd เรื่อง High Crime เรื่องนี้ดูไม่ค่อยหล่อเท่าไหร่ เพราะตัดผมทรงทหารดูแล้วประหลาดมาก นอกจากนี้แล้วเขาก็ยังมีหนังใหม่เรื่องอื่นอีก ท่าทางจะเริ่มดังจริงๆ ซะที เราเคยอ่านที่ไหนไม่รู้เขาบอกว่า ดาราถึงต่อให้มีความสามารถแค่ไหน ดูดีหล่อสวยแค่ไหน แต่ถ้าชื่อเรียกยาก ก็จะไม่ค่อยดัง (หรือใช้เวลานานกว่าจะดัง) เราสังเกตดูแล้วก็เหมือนจะจริงนะ หลายๆ คนเลยที่เราคิดว่าน่าจะดัง เพราะหล่อ เล่นหนังดี แต่ไม่ดัง ก็เพราะคนดูจะจำชื่อพวกเขาไม่ได้ คิดดูเวลาคนจะทำหนัง เขาก็ต้องคิดว่าจะให้ใครเล่นดี เขาก็นึกถึงคนที่เขาจำชื่อได้ก่อน เราว่าที่ Brad Pitt ดังได้ ก็เพราะแบบนี้แหละ ใครๆ ก็จำ Brad Pitt ได้ แต่ไม่ค่อยมีใครจำ Jim อะไรซักอย่างที่เล่นเรื่อง Frequency ได้ หรืออย่าง Ralph Fiennes นี่ก็ตกอยู่ในกรณีชื่อจำยากเลยไม่ดังเหมือนกัน (แต่อันนี้เป็นเพราะว่าชื่อเขาอ่านผิดปกติ จะต้องอ่านประมาณว่า Rafe Fines) มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาฮ็อตมาก คือตอนที่เล่นเป็นทหารเยอรมันสุดโหดใน Schindler’s List แต่คนก็จำชื่อเขาไม่ได้ จำได้แต่ว่า คนนั้นไงที่เล่นเป็นทหารเยอรมันใน Schindler’s List เป็นซะอย่างงั้นไป

เขียนมาตั้งนานยังไม่เข้าเรื่องที่ไปดูหนังมาเมื่อวานเลย เราไปดูหนังมา 2 เรื่อง คือ Edges of The Lord รอบ 18:30 และ Nabi: Butterfly (หนังเกาหลี) รอบ 20:30 ดูต่อกันไปเลย ธรรมดาเวลาที่เราไม่ได้ดูหนังนานๆ และมีหนังให้ดูเยอะ เราก็จะดู 2 เรื่องต่อกันอยู่บ่อยไป แต่มักจะทำวันเสาร์อาทิตย์ วันธรรมดาหลังเลิกงานดูหนัง 2 เรื่องติดกันนี่ทำเป็นครั้งแรก (และเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด) ความจริงคือ เราอยากดูเรื่อง Butterfly เพราะเห็นว่าได้รางวัลจากเทศกาลหนัง (ประกอบกับความประทับใจจากหนังเกาหลี 2 เรื่องล่าสุดที่เราดู คือ เรื่อง Il Mare กับ My sassy girl) แต่มีฉายรอบเดียวคือ 20:30 เราคิดว่ามันจะเลิกดึกไปหน่อย แต่ความอยากมันมีมากกว่าก็เลยจะยอมถ่อเข้าไปดู พอดีเช็ครอบก็รู้ว่ามี Edges of The Lord ฉายก่อน Butterfly ด้วย คิดว่าไหนๆ เราก็ต้องรอดู Butterfly แล้วก็เลยดู Edges of the Lord ไปด้วยละกัน (ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่คิดว่ายังไงๆ ก็น่าจะดีกว่า Scooby-doo ที่ฉายโรงใกล้บ้าน)

Edges of the Lord เป็นหนังเกี่ยวกับยิวสมัยสงคราม (อีกแล้วครับท่าน) เหตุการณ์เกิดขึ้นในโปแลนด์ เป็นเรื่องของเด็กที่ถูกพ่อแม่ส่งให้ไปอาศัยอยู่กับครอบครัวที่เป็นคาธอลิค เพื่อหนีจากการถูกทหารเยอรมันจับไปเข้าแคมป์ เขาต้องหัดท่องบทสวดปลอมเป็นคาธอลิค จะได้ไม่มีใครรู้ว่าเป็นยิว Haley Joel Osment เด็กที่เล่นเรื่อง The Sixth Sense มาเล่นเป็นเด็กยิวชื่อโรเม็ค ครอบครัวที่เขาไปอยู่ด้วยมีลูกชาย 2 คน ลูกชายคนโตไม่ค่อยชอบโรเม็คเท่าไหร่ แต่ลูกชายคนเล็กชอบเพราะเหมือนได้พี่ชายคนใหม่เป็นเพื่อนเล่น นอกจากครอบครัวที่โรเม็คไปอยู่ด้วยแล้ว ก็มีบาทหลวงที่โบสถ์ที่รู้ว่าโรเม็คเป็นยิว โรเม็คต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นคาธอลิค ต้องไปโบสถ์และเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาเพื่อเตรียมตัวรับศีลมหาสนิทพร้อมกับเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน

ชื่อของหนังเอามาจากตอนที่โรเม็คไปหาบาทหลวงที่โบสถ์ แล้วได้ยินว่ามีคนในหมู่บ้านรู้ว่าเขาเป็นยิว โรเม็คก็ตกใจกลัว บาทหลวงเรียกให้โรเม็คไปดูเขาตัดขนมปังสำหรับพิธีรับศีล เป็นขนมปังแผ่นบางๆ สีขาว เอาพิมพ์วงกลมกดลงไปตัด บาทหลวงบอกโรเม็คว่าเขาจะกินขนมปังที่เหลือจากการตัดก็ได้นะ แต่โรเม็คก็ไม่กล้า เพราะขนมปังนี้ชาวคริสชาวคริสต์เชื่อว่าเป็นเนื้อของพระเยซู (และไวน์แดงก็เป็นเลือดของพระเยซู) แต่บาทหลวงก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก It’s just the edge, it hasn’t been blessed yet คือหมายถึงว่า มันเป็นแค่เศษขอบขนมปัง ยังไม่ได้ผ่านการทำพิธี โรเม็คก็มองๆ ขนมปังแล้วก็เลยถามว่า “Are we blessed, father? Or are we just the edge?” มันเป็นการเล่นคำเล็กน้อย คือ โรเม็คถามว่า แล้วคนเราล่ะ ได้รับการอวยพรจากพระเจ้าหรือเปล่า? หรือว่าเราเป็นแค่เศษขอบๆ (เหมือนขนมปัง) ที่ไม่ได้รับพร บาทหลวงเลยบอกว่า “We all are edges, edges of the Lord” เราทุกคนก็เป็นเศษทั้งนั้นหละ เป็นเศษของพระเจ้าไง

หนังเรื่องนี้ดูไปแล้วก็เศร้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องของคนที่ทำร้ายคนด้วยกันเอง บ้างก็ทำร้ายเพราะความรู้สึกเหยียดผิวเหยียดศาสนา บ้างก็ทำร้าย เพราะเห็นแก่ตัวต้องการเอาตัวรอด เพราะอยากแก้แค้น หนังจบลงตรงที่โรเม็ครอดชีวิตมาได้ แต่ก็มีคนตายมีคนที่สูญเสีย หนังยาวแค่ 90 นาที แต่เราดูไปก็อยากเร่งให้จบ ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี หนังก็ดีอ่ะนะ แต่มันรันทดเกิน หนักเกินกว่าที่จะดูเวลาอยู่ในอารมณ์เซ็งๆ อ่ะนะ

พอดู Edges of the Lord เราก็ไปเข้าห้องน้ำ ตอนเดินออกมาก็ได้ยินเสียงคนคุยดังลั่นเลย ปรากฏว่ามีคุณป้าไฮซ้อคนหนึ่งแกกำลังตะโกนคุยโทรศัพท์มือถืออย่างเมามัน เสียงดังขนาดได้ยินกันชัดทั้งย่านนั้นเลย เราฟังแล้วก็รู้สึกว่าจี้ๆ ดี เพราะดูท่าทางเขาสบายอารมณ์กับการคุยมาก เรื่องเขาคุยก็จะเวอร์ๆ อวดๆ หน่อยๆ เช่น คุยเรื่องหมาของแก ก็บอกว่า โอ้ย… จูดี้ (ชื่อหมาอ่ะนะ เราจำไม่ได้แน่หรอกว่าชื่ออะไร แต่ชื่อฝรั่งๆ ประมาณจูดี้นี่แหละ) มันชอบใจมาก นี่พามันไปเข้าห้องแอร์นะ มันทำหน้าสลอนเลย นี่เลยกะว่าจะต้องกั้นห้องติดแอร์ให้มันอยู่แล้ว (ติดแอร์ให้หมาอ่ะนะ) ท่าทางแกจะรักหมามาก บอกว่า ตอนนี้อยู่ที่ลิโด มาดูหนังเรื่องที่เป็นหมานี่ไง (ไม่รู้เรื่อง Scooby-doo หรือ ว่าเรื่อง หมาเวิลด์คัพ) มันทำหน้าสลอนเลย (เขาจะชอบพูดคำว่าหน้าสลอนมาก นัยว่าเป็นคำสุดฮิตประจำตัว) หรือ คุยเรื่องประกัน ก็จะบอกว่า โอ้ย… เราก็มีประกันชีวิตตั้งหลายบริษัท เอไอเอก็มี เราก็เอากรรมธรรม์ให้เขาดูไปเลย ฯลฯ เขาคุยเรื่องอะไรต่ออะไรเยอะมาก นี่เราไม่ได้ตั้งใจจะไปสอดรู้หรอกนะ แต่ว่าเสียงของเขามันทะลวงเข้ามาในรูหูเราเองหนะ

เรานั่งรอหน้าโรงแป๊บหนึ่งแล้วเขาไปดูเรื่อง Butterfly ต่อ เราไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แต่คิดเอาว่าน่าจะสนุกและน่าเหนื่อยน้อยกว่า Edges of the Lord ตอนแรกคิดว่าเป็นหนังรักแบบ Il Mare แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ Butterfly เป็นเรื่องที่สมมติว่ามีคนเจอไวรัสที่ทำให้เราลืมอดีตลืมความทรงจำที่เจ็บปวดได้ ก็เลยมีบริษัททัวร์ที่บริการตามหาไวรัส นางเอกเขาเป็นคนเกาหลีที่ย้ายไปอยู่เยอรมัน แล้วกลับมาที่เกาหลี เพื่อจะมาหาไวรัสเพราะอยากจะลืมเรื่องราวบางอย่าง ก็เลยใช้บริการของบริษัททัวร์ที่จัดให้เด็กสาวที่ทำหน้าที่ไกด์ กับคนขับแท็กซี่ผู้ชายที่ทำหน้าที่ขับรถ 2 คนนี้จะช่วยนางเอกตามหาไวรัส

หนังเซ็ตเรื่องเป็นกึ่งแฟนตาซีในอนาคต เช่น โลกเต็มไปด้วยมลภาวะ มีฝนกรด มีสารตะกั่วปนเปื้อน (อันนี้เราเดาเอาอ่ะนะ หนังหลายๆ เรื่องเขาจะมองว่าอนาคตเราจะอยู่ในโลกที่เลวร้าย สิ่งแวดล้อมแย่ ผู้คนไร้น้ำใจและโดดเดี่ยว) หนังออกมาเป็นแนวฟิล์มนัวร์ (เดาเอาเองอีกอ่ะนะ ว่าน่าจะจัดเป็นฟิล์มนัว เพราะเขาว่าฟิล์มนัวร์คือหนังที่มืดๆ เรื่องราวหมองๆ หม่นๆ) เราก็ดูไปอึดอัดไป เพราะมองอะไรไม่ค่อยเห็น เขาใช้แสงน้อยมาก และเน้นโทนสีฟ้าตลอด (หนังมันมืดจนเราคิดว่า ถ้าใช้แสงมืดขนาดนี้ ให้ไอ้บ้าที่ไหนมาแสดงก็ได้ หน้าตาก็ไม่เห็น สีหน้าอารมณ์ก็ไม่เห็น ไม่ต้องใช้ความสามาถในการแสดงเลยมั้งเนี่ย)

ไม่รู้ว่าเราแก่เกินกว่าที่จะดูหนังทำนองนี้แล้วหรือเปล่า หรือว่าเพราะมันเป็นหนังชิงรางวัลเลยต้องให้มันดูยากๆ หน่อย จะสื่อสารอะไรก็ไม่บอกมาตรงๆ ใช้ภาพใช้มุมกล้องบอก แต่เรารู้สึกว่าไม่ไหวอ่ะ บางทีมันเยิ่นเย้อมากเกินไป หนังถ่ายในระยะโคลสอัพเยอะมาก เดาเอาว่าเป็นการจะสะท้อนอารมณ์กดดันของตัวละคร แถมหนังถ่ายโดยใช้คนถือกล้องบ่อยแทบตลอดเรื่อง (ไม่ได้ใช้ตั้งกล้องอยู่บนรางที่เขาเรียกว่า Dolly ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการสร้างอารมณ์ หรือเพราะทุนหนังมีจำกัดหรือเปล่า ปกติหนังทุนต่ำๆ จะไม่มีเงินค่าอุปกรณ์มาก ส่วนใหญ่ก็ใช้คนถือกล้องเดินถ่ายเป็นหลัก) ภาพก็จะแกว่งไปแกว่งมาน่าเวียนหัว ถ้าเขาจะจงใจถ่ายทำเพื่อเป็นการสร้างอารมณ์กดดันสับสน ก็ประสบความสำเร็จกับเราเต็มเปา เพราะเราดูแล้วกดดันและเวียนหัวมากจริงๆ ทั้งโคลสอัพทั้งภาพแกว่ง เราเคยเจอหนังที่มีเทคนิคในการเล่าเรื่องดีๆ โดยไม่ต้องพูดออกมา แต่ก็ไม่เห็นเขาทำ (กับเรา) ขนาดนี้ พอหนังเริ่มไปได้ประมาณ 5 นาที เราก็นั่งนับเวลาถอยหลังเลยอ่ะ (คิดในใจว่า จะเดินออกดีไหม) ที่ทนดูอยู่จนจบได้นี่ก็เพราะว่าอยากจะรู้ว่าหนังจะพาเราไปสู่บทสรุปตรงไหน แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรใหม่ หนังเหมือนจะหักมุม แต่ก็เป็นการหักมุมที่เราเดาได้อีกอ่ะ

ปกติดูหนังออกมาเราจะไม่ค่อยรีบออกจากโรง จะอ่านเครดิตท้ายเรื่องก่อน แต่เรื่องนี้นี่แทบจะโผออกมาทันทีที่เห็นเครดิตท้ายเรื่องขึ้น (อยู่ไปก็อ่านไม่ออก เพราะเป็นภาษาเกาหลี แต่ที่จริงคือดีใจที่หนังจบเสียที) สรุปว่าความบันเทิงที่สุดได้จากประสบการณ์ครั้งแรกของการดูหนัง 2 เรื่องติดกันในวันธรรมดาหลังเลิกงาน คือ ตอนได้ยินคุณป้าไฮซ้อคุยโทรศัพท์เมาธ์แตกเสียงดังแบบไม่สนใจคนอื่นๆ ในโลก…