Prague IV: Karlštjen
หลังจากอยู่ในตัวเมืองปรากมา 3 วัน พอวันที่ 4 (วันอังคาร ที่ 28 พ.ค.) พวกเราก็เลยออกไปนอกเมืองบ้าง เราซื้อทัวร์ไป Karlštjen (คาร์ลชเทน) คำว่า Karlštjen เทียบได้กับภาษาอังกฤษว่า Charles Stone หรือ ปราสาทหินของพระเจ้าชาร์ลสนั่นเอง

รถมารับเราที่โรงแรมตอน 9 โมงเช้า แต่รถต้องไปรับลูกทัวร์คนอื่นๆ อีก กว่าจะได้ออกเดินทางจริงๆ ก็ เก้าโมงสี่สิบนั่นแหละ วันนี้มีคนอิตาเลียนมาร่วมทัวร์เราด้วย ไกด์เลยต้องพูด 2 ภาษา คือ อังกฤษกับอิตาเลียนไกด์ของเราเป็นผู้ชายตัวใหญ่ ท่าทางอารมณ์ดี เขาถามพวกเราว่ามาจากไหน พอเราบอกว่ามาจากเมืองไทย เขาก็ถามว่าภาษาไทย พูดว่าสวัสดียังไง ลาก่อนยังไง ขอบคุณยังไง แล้วก็จดใส่กระดาษไป ถ้าเขาไม่ทำหายไปเสียก่อน คราวหน้ามีคนไทยไปเที่ยวเขาคงได้โชว์ความสามารถ

เรานั่งรถไปประมาณ 40 นาที เขาจอดรถที่เชิงปราสาทแล้วให้เราเดินขึ้นเนินไปประมาณ 20 นาที เราโชคไม่ค่อยดีเพราะฝนตกปรอยๆ ตั้งแต่เช้า ไปถึงปราสาทฝนก็ยังไม่หยุดก็เลยต้องรีบเดิน ไม่ได้อ้อยสร้อยถ่ายรูปชมวิว แต่ก็ดีตรงที่ฝนทำให้นักท่องเที่ยวหดหายไปบ้าง คนไม่มากมายอย่างที่เขาขู่เอาไว้ในไกด์บุ๊ค (ว่าจะมีนักท่องเที่ยวมากันเป็นรถบัส เดินกันให้คึกคักทั้งวัน)

พอขึ้นไปถึงลานของปราสาทเราต้องรอประมาณ 10 นาที เพราะเขาจัดให้เข้าชมเป็นรอบๆ ส่วนหลักที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมจะเป็นด้านที่หันไปทางด้านทิศใต้ ซึ่งจะมีห้องหับต่างๆ อย่าง Audience Hall, Imperial Bedroom ซึ่งดูๆ ไปแล้วค่อยรู้สึกว่าเป็นที่อยู่ได้จริงๆ หน่อย เพราะมีเฟอร์นิเจอร์ไม่มากและไม่ได้หรูหราอลังการ มีโต๊ะตู้อยู่ประปราย พอให้เราจินตนาการว่า เขาอยู่กันยังไงในสมัยก่อน ที่ผนังมีรูปวาดของพระเจ้าชาร์ลสและพวกขุนน้ำขุนนางต่างๆ แต่งตัวกันเต็มยศ เราดูๆ แล้วก็ชักนึกฉงนว่าคนสมัยก่อนเขาจะแต่งตัวกันอย่างนั้นจริงๆ หรือ เขาอยู่ในปราสาทนี้จริงๆ หรือเปล่า วันๆ เขาทำอะไรกัน ถ้ามีไทม์แมชชีนแล้วย้อนไปสมัยก่อนคงได้สนุกแน่ๆ เลย

ที่ปราสาทคาร์ลชเทนนี่มองข้างนอกจะเป็นเหมือนตึก 3 ตึก แต่ข้างในสามารถเดินติดต่อกันไปได้เกือบหมด ไกด์เขาพาเราเดินไปส่วนที่เรียกว่า Marian Tower ซึ่งเป็นสถานที่ส่วนพระองค์ของพระเจ้าชาร์ลส์มีทั้งห้องนอน ห้องทำงาน และโบสถ์ (ไกด์บอกว่า คนสมัยก่อนเขาต้องเคร่งศาสนาหนะ) แล้วก็ที่ Great Tower ซึ่งเป็นที่เก็บพวกเครื่องเพชรของมีค่าและตราประจำตระกูลต่างๆ มีมงกุฎอันเบ้อเริ่มมีเพชรพลอยประดับอยู่เพียบ

เราชอบการจัดการของที่คาร์ลชเทนนี่มาก มันแปลกๆ แต่ก็เป็นระเบียบดี คือนอกจากเขาจะให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเป็นรอบๆ แล้ว เขายังให้ชมทีละห้องอีกด้วย คือ เราจะเดินเป็นวันเวย์ไปตามห้องต่างๆ มีเจ้าหน้าที่ถือกุญแจเอาไว้และคอยพาเราไป พอเราเข้าไปในห้องหนึ่ง เขาจะรอให้ไกด์บรรยายให้เสร็จแล้วถึงจะไขกุญแจเปิดประตูให้เราเข้าไปห้องถัดไป ประมาณว่าเป็นการป้องกันไม่ให้คนเดินเพ่นพ่านและเป็นการจำกัดเวลาไปด้วยในตัว

จบจากเดินดูห้องต่างๆ เขาก็ให้เวลาประมาณ 10 นาทีสำหรับเข้าห้องน้ำดูของที่ระลึก แล้วก็รีบเดินกลับไปขึ้นรถ เพราะฝนก็ยังตกอยู่ ตอนจบทัวร์ไกด์เขายังพูดติดตลกว่า ขอบคุณที่มาเที่ยวปรากและใช้บริการของเขา เขาหวังว่าพวกเราจะได้มีโอกาสมาเที่ยวปรากและมาเที่ยวคาร์ลชเทนอีก... ถ้าเป็นทัวร์ปกติเขาก็จะจบแค่นี้ แต่ไกด์คนนี้เขาต่อว่า หวังว่าพวกเราจะได้มาเที่ยวอีก...ในเวลาที่อากาศดีกว่านี้

The most beautiful post office

เรากลับมาถึงปรากเกือบบ่าย 2 โมงหิวข้าวกันสุดๆ รถมินิบัสกลับมาส่งที่ถนนนาปริโคแป ซึ่งก่อนหน้านี้เราเห็นว่ามีร้านอาหารจีนอยู่ (ร้านนี้เก๋ไก๋มากเพราะอยู่ในคาสิโน) กินอาหารจีนแล้วก็ว่าจะไปเดินที่ National Museum ที่อยู่ที่ St. Wenceslas Square ระหว่างเดินไปก็ผ่านที่ทำการไปรษณีย์เลยแวะเข้าไปซื้อแสตมป์ เดินเข้าไปแล้วตกใจ เพราะข้างในเขาทำสวยมากๆ เป็นห้องโถงใหญ่ๆ เพดานโค้งๆ สูงๆ มีรูปวาดบนเพดานด้วยนะ เคาน์เตอร์ให้บริการเรียงเป็นตับ มีเก้าอี้ให้นั่งรอเยอะแยะ ดูๆไปแล้วเหมือนสถานีรถไฟมากกว่า แต่ว่าสะอาดมากๆ และคนไม่พลุกพล่านเท่า เขามีโต๊ะสำหรับให้เขียนจ่าหน้าซองห่อพัสดุ ติดแสตมป์ฯลฯ เรียงเป็นแถวใกล้ๆ ผนัง แต่โต๊ะเขาดีกว่าเมืองไทยเยอะเลย เหมือนโต๊ะหนังสือในห้องสมุดมากกว่า สรุปว่าอะไรๆ ก็ดูดีไปหมด เรากับเก๋เห็นตรงกันว่า เป็นที่ทำการไปรษณีย์ที่สวยที่สุดในโลก (อาจเวอร์ไปหน่อย เอาเป็นว่าสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาละกัน) เรามารู้ทีหลังว่า มันไม่ใช่ที่ทำการไปรษณีย์ธรรมดา แต่เป็นไปรษณีย์กลางของเขา เราไม่เคยไปที่ไปรษณีย์กลางของไทย แต่เดาเอาว่าสวยไม่เท่าและสะอาดไม่เท่าที่ปรากแน่ๆ

หลังจากซื้อแสตมป์ และสอนให้ฝรั่งนักท่องเที่ยวหย่อนจดหมายลงตู้ไปรษณีย์ (ไปเที่ยวคราวนี้ ทั้งๆ ที่เป็นกะเหรี่ยงไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่มีพวกฝรั่งที่ Clueless กว่าเรา มาคอยถามโน่นถามนี่พวกเราอยู่เรื่อยเลยอ่ะ ต้องคอยบอกว่าฉันก็นักท่องเที่ยวเหมือนกันเฟ้ย ที่ทำๆ นี่ก็เดาๆเอาทั้งนั้นแหละ) พวกเราก็เดินต่อมุ่งหน้าไป National Museum แต่ปรากฏว่าไปไม่ถึงหรอก เพราะระหว่างทางผ่านร้านขายของก็เข้าไปดูๆ กัน กว่าจะเดินไปถึง Wenceslas Square ก็หมดแรงเดิน เลยกลับโรงแรม