Prague V: Kutna Horá
วันที่ 5 (วันพุธ ที่ 29 พ.ค.) เราไปเที่ยวนอกปรากอีกวันหนึ่ง คราวนี้ลองซื้อทัวร์ของบริษัทใหม่ (ที่ผ่านมาไปกับ Premiant City Tour ตลอด) ชื่อบริษัท Martin Sightseeing ไปเที่ยว Kutna Horá (คุทนาโฮรา ไกด์บอกว่า โฮราแปลว่าภูเขา) รถมารับเราที่โรงแรมอีกเช่นเคย (บริษัททัวร์ส่วนใหญ่เขาก็มีบริการรถรับถึงโรงแรมเหมือนๆ กันหมดแทบทุกบริษัทนั่นแหละนะ) แต่คราวนี้เขาพาเราไปที่เริ่มต้นที่ Old Town Square แทน ก่อนทัวร์เริ่มเรามีเวลาประมาณ 15 นาทีก็เลยได้เดินรอบๆ Old Town Square ดูๆ ไปแล้วก็รู้สึกว่ามันคล้ายๆ กับ Leicester Square ในลอนดอนเหมือนกันแฮะ

คุทนาโฮราอยู่นอกปรากไปประมาณ 60 กม. เป็นเมืองที่ยูเนสโกจัดให้เป็นมรดกโลก เมื่อก่อนเมืองนี้มีเหมืองเงิน เพราะฉะนั้นนอกจากจะไปคุทนาโฮราเพื่อไปดู St. Barbara Cathedral แล้วอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องไปแวะก็คือโรงกษาปณ์ที่เรียกว่า Italian Court

ไกด์ของเราวันนี้เป็นผู้หญิงค่อนข้างอายุเยอะน่าจะห้าสิบกว่าหรือหกสิบได้แล้วมั้ง แกจะใจเย็นไม่รีบเร่ง ประกอบกับวันนี้อากาศค่อนข้างดีวันนี้ ก็เลยเดินเที่ยวแบบเรื่อยๆ เราสังเกตดูลูกทัวร์ปรากฏว่าเจอคนหน้าคุ้นๆ ด้วย ประมาณว่าเคยซื้อทริปเดียวกับเรามาเมื่อวันก่อนๆ เดาเอาว่านักท่องเที่ยวก็คงจะเที่ยวอะไรเหมือนๆ กันเป็น Pattern เดียวกันไปหมดอ่ะนะ

St. Barbara Cathedral เป็นมหาวิหารสไตล์โกธิคที่ได้ชื่อว่าสวยงามมาก ประมาณว่าแข่งกับวิหาร St. Vitus ที่ Prague Castle ได้เลย ด้านในมีการตกแต่งเหมือนโบสถ์วิหารทั่วๆ ไป แต่ที่พิเศษคือ นอกจากจะมี Chapel อยู่รอบๆ เหมือนๆ กับที่ St. Vitus แล้ว เขามีรูปปั้นคนทำเหมืองสมัยก่อนอยู่ด้วย ก็สมัยก่อนเมืองนี้เมืองเหมืองนี่นะ ข้างในวิหารนี้เขาไม่ให้ถ่ายรูป แต่ปรากฏว่าฝรั่งลูกทัวร์ของเรามีบางคนเป็นพวกไม่ค่อยมีวัฒนธรรม เขาก็เลยแอบถ่ายรูปกันคนละรูป 2 รูป

ออกจาก St. Barbara แล้วก็ไกด์ก็พาเราเดินไปที่โรงกษาปณ์ (เก่า) ปัจจุบันนี้เขาไม่ได้ทำเงินกษาปณ์กันที่นี่แล้ว เหลือแต่ตึกเอาไว้แสดงนิทรรศการเก็บเงินนักท่องเที่ยว เขาก็เปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ อีกเหมือนกัน แต่ไม่ได้กำหนดเวลาตายตัว พอมีคนกลุ่มใหญ่มากพอเขาก็จะเปิดให้เข้า เขามีไกด์คอยบรรยายให้ฟังด้วย

เขาบอกว่าที่เรียกว่า Italian Court เพราะว่าสมัยก่อนเขาต้องอาศัยช่างฝีมือจากอิตาลีมาช่วยทำพวกเหรียญกษาปณ์ ก็เลยตั้งชื่อให้เป็นเกียรติ ไกด์พาเราเข้าไปชมห้องที่แสดงเหรียญกษาปณ์ในยุคสมัยต่างๆ ห้องที่แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการหล่อและทำเหรียญ ฯลฯ มีอยู่ห้องหนึ่งมีเสาอยู่ใกล้กับกำแพง ไกด์บอกว่าถ้าเอามือไปลูบเสานี้แล้วจะโชคดี พวกเราก็ประเภทไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ ไม่เชื่อแต่ก็เผื่อๆฟลุ้ค ก็เลยไปลูบกับเขาด้วย มีบางคนลูบ 2 มือเลย ก็โชคดี 2 ต่อมั้ง ในItalian Court นี้เขาโบสถ์ด้วย ก็อย่างที่บอกว่า คนสมัยก่อนเขาต้องเคร่งศาสนา โบสถ์ที่อยู่ใน Italian Court นี้เป็นโบสถ์สำหรับกษัตริย์กับขุนนาง จะได้ไม่ต้องออกไปทำพิธีปะปนกับชาวบ้านข้างนอก

เราออกจากอิตาเลียนคอร์ทก็เกือบบ่ายโมงแล้ว ไกด์พาเราเดินไปตรงย่านที่เป็นใจกลางของคุทนาโฮรา เป็นจัตุรัสกว้างๆ มีร้านขายของร้านอาหารอยู่รอบๆ ไกด์ปล่อยให้เราไปหาอะไรกินตามอัธยาศัย (เพราะทัวร์ไม่ได้รวมอาหารกลางวัน) ให้เวลาประมาณ 30 นาที เขาแนะนำว่าให้หาอะไรง่ายๆ กิน พวกเราก็กินขนมปังกับผลไม้ที่เตรียมใส่เป้มา แล้วก็นั่งรออยู่แถวๆ จัตุรัสใกล้ๆ กับจุดนัดพบนั่นแหละ

แต่ปรากฏว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ภรรยาสวยหุ่นดี แต่งตัวไฮโซมาก เราแอบเรียกแกว่าป้าหลุยส์ ความจริงเขายังอายุไม่มากขนาดต้องเรียกป้าหรอกนะ แต่แบบว่าเธอหิ้วกระเป๋าหลุยส์วิตตองอ่ะนะ เวลาเดินเที่ยวแกก็จะโพสต์ท่าให้สามีถ่ายรูปให้ราวกับนางแบบ (คือนานๆ จะเจอฝรั่งที่ไปเที่ยวแล้วเน้นถ่ายรูปตัวเองมากกว่าถ่ายรูปสถานที่หรือวิวอ่ะนะน) ป้าหลุยส์กับสามีนี่เป็นฝรั่งประสาอะไรไม่รู้ ปรากฏว่าเวลาผ่านไป 30 นาทีแล้วแกก็ไม่มาที่จุดนัดพบ ป้าที่เป็นไกด์ต้องวิ่งวุ่น สุดท้ายไปเจอว่าแกเข้าไปกินอาหารในร้านอาหารหรูก็เลยช้า ป้าไกด์แกก็ดีนะไม่โกรธก็คงเป็นเพราะแกแก่แล้วละมั้งเลยใจเย็นเป็นพิเศษ แต่มีแอบกัดเล็กๆ แกพูดตอนขึ้นรถกลับปรากว่า ขอบคุณมากที่ทุกคนช่วยกันรักษาเวลา ป้าหลุยส์ได้ยินป้าไกด์พูดแกแบบนี้ก็ขำกิ๊กเลย แบบว่ารู้ตัวว่าโดนกัดอ่ะนะ

ป้าไกด์

ในบรรดาไกด์ที่เราได้เจอ เราชอบป้าไกด์คนนี้มากที่สุด เขาเป็นคนที่อายุเยอะที่สุดและใจดีที่สุด เขาเล่าเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับสาธารณรัฐเช็คให้ฟังด้วย เป็นต้นว่าความเปลี่ยนแปลงจากสมัยที่เป็นคอมมิวนิสต์มาเป็นประเทศเปิด หรือความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (ว่าสาธารณรัฐเช็คจะเข้าร่วมกับอียูหรือเปล่า?) คงเป็นเพราะแกได้ผ่านความยากลำบากมามากตอนสมัยที่ประเทศยังปิดมาก่อน แกก็เลย Appreciate กับสิ่งดีๆ ในปัจจุบันมากๆ แกบอกว่าแกดีใจมากๆ ที่เดี๋ยวนี้คนเช็คสามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้ แกเพิ่งได้ไปเที่ยวนอกประเทศเป็นครั้งแรก คือไปอิตาลีมาเมื่อปีที่แล้ว แกบอกว่าต้องเก็บเงินนานเหมือนกัน เพราะเงินเดือนแกก็ไม่เยอะ แต่แกก็หวังว่าจะได้ไปเที่ยวประเทศอื่นๆ อีก เราว่าแกไม่ได้เป็นไกด์เพราะเงินอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความรักที่จะได้เจอผู้คน ดีใจที่มีคนมาเที่ยวประเทศของแก ได้พูดคุยได้เปิดโลกทัศน์ ทำให้แกมีงานทำ และได้หวังว่าวันหนึ่งแกอาจจะได้ไปเที่ยวในประเทศที่คนเหล่านั้นมา

เราเคยไปเที่ยวกับทัวร์ที่ไม่ใช่ของเมืองไทยมา 2-3 ครั้ง ทุกครั้งไกด์เขาพูดย้ำว่า พอจบทัวร์แล้วน่าจะต้องทิปให้คนขับรถ เพื่อแสดงน้ำใจ แต่ในความเป็นจริงก็คือต้องทิปให้กับตัวไกด์ด้วย เราก็พอเข้าใจได้ว่านอกจากเงินเดือนแล้ว รายได้ของพวกเขาก็มาจากเงินทิปของเรานี่แหละ แต่เราก็แบบว่าเงินทิปของเธอก็มาจากเงินของประเทศยากจนอย่างประเทศฉันนะ ส่วนใหญ่พวกลูกทัวร์ก็จะเอาเงินใส่ซองรวมๆ กันให้ จะได้ไม่ดูว่าน้อยเกินไป บางคนก็เอาไปให้ต่างหากเองซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกที่ให้ทิปเยอะๆ อย่างคนอเมริกัน แต่ที่ปรากนี่เขาไม่พูดเรื่องทิปเลย แล้วก็ไม่เห็นมีใครทิปให้ไกด์หรือคนขับรถด้วย เราก็ไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งวันสุดท้ายที่เจอป้าไกด์นี่แหละ ที่เรารู้สึกว่าอยากจะให้ทิปเขา แต่พอลงจากรถเราก็ไม่ได้ให้เขาอ่ะนะ แบบว่าไม่กล้าน่ะ โชคดีว่าพอดีพวกเรามาเจอกับแกที่สถานีเมโทร แกบอกว่าแกทำงานแค่นี้และกำลังจะกลับบ้าน แกถามพวกเราว่าจะไปไหน ขึ้นรถถูกหรือเปล่า ความจริงพวกเราก็ไปถูกหละนะ แต่แกก็พาพวกเราขึ้นรถเพราะไปทางเดียวกัน พอตอนเราจะลงจากรถเราก็เลยเอาตังค์ให้แกไป 100 Kč บอกว่าเป็นทิป แกขอบอกขอบใจใหญ่เลย