Prague VI: Last days
วันที่หกในปราก (วันพฤหัสที่ 30 พ.ค.) พวกเราไม่ได้ซื้อทัวร์ แต่เดินเที่ยวกันเอง ตอนเช้าไป St. Nicholas Church ที่มาลาสตรานา เพราะเก๋เปิดหนังสือรูปภาพเมืองปรากที่ซื้อมาวันแรกๆ แล้วเห็นว่าข้างในสวยงามอลังการดี พวกเรานั่งรถเมล์ไปต่อรถไฟใต้ดินไปลง (ขึ้น) ที่สถานี Malostranká ขึ้นมาจากใต้ดินก็มาเจอสวนเล็กๆ อยู่ด้านซ้ายขวาของทางลงสถานี มีรูปปั้นวางรอบๆ มีสระน้ำเล็กๆ ดูร่มรื่น มีคนไปนั่งเล่นพอสมควร นับเป็นสถานีเมโทรที่ดูดีมากสถานีหนึ่ง พวกเราออกมาจากสถานีได้ก็เดินดุ่มๆไปตามป้ายที่เขียนว่าไป St. Nicholas Church

ในปรากมี St. Nicholas Church 2 แห่ง แห่งหนึ่งอยู่ที่ Old Town Square กับแห่งที่เราไปนี่ อยู่ในมาลาสตรานา เป็นโบสถ์สไตล์บาโร้คสร้างเสร็จปี 1755 โดยใช้เวลาสร้างถึง 2 ชั่วอายุคน (ช่างที่เป็นพ่อเริ่มสร้างก่อน แต่มาสร้างเสร็จในสมัยลูก) จุดเด่นของโบสถ์นี้ก็เห็นจะเป็นภาพวาดบนเพดานที่ชื่อว่า Life of Nicholas ซึ่งวาดได้กลมกลืนเหมือนจริงมากจนไม่แน่ใจว่าลวดลายที่วาดต่อจากบัวผนังเป็นของจริงหรือเป็นรูปวาด พวกเราเดินดูจนรอบโบสถ์แล้วก็สงสัยกันว่าคนสมัยก่อนเขาสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงทั้งๆ ที่ไม่มีเทคโนโลยีและเครื่องมือทันสมัยเท่าปัจจุบัน Amazing จริงๆ

หลังจากเดินที่ St. Nicholas Church แล้วเรากับเก๋ก็ไปซื้อของที่ระลึกกันแถวๆ Charles Bridge ความที่กลัวว่าเตี่ยกับแม่จะเดินเมื่อยก็เลยไปหาที่นั่งรอให้แถวๆ ริมแม่น้ำในระหว่างที่เราสองคนเดินเข้าๆ ออกร้านขายของ ซึ่งก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากนอกจากเสื้อยืด 2-3 ตัว Magnet ถ้วยกาแฟ ความจริงของที่ปรากนี่ไม่แพงมาก แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรซื้อเหมือนกัน พอเที่ยงกว่าๆ เราก็กลับมารับเตี่ยกับแม่ไปกินอาหารกลางวันกันที่ร้านใกล้ๆ สะพาน

ตอนบ่ายแม่บอกว่าขี้เกียจเดินเที่ยวแล้ว ก็เลยว่าจะพากลับไปที่โรงแรมก่อน แล้วเรากับเก๋ก็จะออกมาเดินเล่นช็อปปิ้ง แต่พอดีตอนจะเดินกลับไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ผ่านสวนสาธารณะ Wallenstein Garden แม่เลยบอกว่าจะนั่งรออยู่ในสวนนี้ดีกว่าแล้วให้พวกเราไปเดินเล่นกันตามใจชอบ เพราะกลับไปโรงแรมก็ไม่มีอะไรทำ เรากับเก๋ก็เลยไปเดินซื้อของกันที่เทสโก้ (ความจริงจะซื้อของที่เทสโก้ไม่เห็นต้องไปถึงปรากเลยนิ) ในปรากมีเทสโก้ 2 สาขา สาขาในเมืองที่เราไปเดินอยู่ที่ถนน Národí อีกสาขาหนึ่งอยู่นอกเมือง พวกเราก็ได้ขนมนมเนยมาอีกหอบใหญ่ ความที่ไม่ค่อยมีของซื้อก็เลยว่าจะเอาขนมกับของกินเป็นของฝากแทน ซื้อเสร็จก็นั่งรถรางกลับไปรับเตี่ยกับแม่ที่สวนสาธารณะแล้วก็กลับโรงแรม

เดินทางกลับ

วันสุดท้ายของการอยู่ในปรากคือวันศุกร์ เป็นวันเดินทางกลับ เครื่องบินเราออกตอนสิบเอ็ดโมง เรานัดให้รถมินิบัสมารับที่โรงแรมตอนแปดโมงสี่สิบห้า ไปถึงสนามบินเก้าโมงนิดๆ เขายังไม่เปิดให้เช็คอินก็เลยหาที่นั่งรอ แล้วก็เอาสตางค์ที่เป็น Kč มาดู กะว่าจะใช้ให้หมดจะได้ไม่ต้องแลกคืนที่เมืองไทย เก๋ไปเดินๆ ดูแล้วเห็นมีห้องหนึ่งเป็นบ่อน มีโต๊ะเล่นไพ่ มีสล็อตแมชชีน ก็เลยไปโยกเล่นฆ่าเวลา (ก่อนไปเล่นก็โดนเราบ่นไปยกหนึ่ง ก็ในฐานะน้องสาวที่ดี เราก็ต้องอบรมว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดีอ่ะนะ มีแต่เสียตังค์เหะๆๆๆ) รู้สึกว่าจะได้มา 500 กว่า Kč (อ้าว...ได้ตังค์แฮะ) ก็เลยเอาไปซื้อของในร้านขายของกัน

ที่สนามบินปราก (และอาจจะสนามบินอื่นๆ ด้วยมั้ง) ดูเหมือนเขาจะเปิดให้เส้นทางบินที่บินไกลๆ เช็คอินก่อน ไฟลท์ของเราบินแค่ไม่ถึงชั่วโมง (คือ จากปรากไปเวียนนา) กว่าจะเปิดให้เช็คอินก็ตั้งเกือบสิบโมง เรามีเวลาต่อเครื่องในเวียนนาประมาณชั่วโมงกับยี่สิบนาที ซึ่งต้องไปออก Boarding Pass เวียนนา-กรุงเทพฯ อีกรอบ แต่ที่เราเป็นกังวลมากกว่า คือกลัวเขาเอากระเป๋าเราไปโหลดเข้าเครื่องไฟลท์ต่อไปไม่ทัน เราเห็นเขาเอาป้าย Short Connection Time มาติดไว้ที่กระเป๋าก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย

เช็คอินเสร็จก็ผ่าน Immigration เพื่อเข้าไปที่ประตูทางขึ้นเครื่อง ก็แวะเอาเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่ Duty Free ประทับตราเพื่อขอคืนภาษี ที่สาธารณรัฐเช็คนี่เวลานักท่องเที่ยวไปซื้อของต่างๆ ตามร้านที่มีป้าย Tax Free แต่ละร้านเกินกว่า 1,000 Kč จะสามารถขอภาษีมูลค่าเพิ่มคืนได้ (ได้คืนให้ประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์) โดยที่ร้านจะกรอกเอกสารให้เรา แล้วเราจะต้องเอาเอกสารนี้มาประทับตราก่อนเดินทางออกนอกประเทศ เขาจะให้เลือกว่าจะคืนภาษีให้เป็นเงินสด หรือโอนเข้าบัตรเครดิต หรือส่งเป็นเช็คไปให้ที่บ้าน พวกเราจะเลือกเอาเป็นเงินสด (เงินยูโร) เพราะตั้งใจว่าจะเอาไปซื้อของกินในสนามบินที่เวียนนา แต่ปรากฏว่าเขาให้คืนส่วนหนึ่งเป็นเงินสด อีกส่วนหนึ่งต้องคืนเข้าบัตรเครดิต ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเอาเป็นเงินสดทั้งหมดไม่ได้ แต่เขาว่ายังงั้นก็ต้องยอมเขาอ่ะนะ

ได้เงินมาแล้วก็เดินไปที่ประตูทางออก ต้องรออีกประมาณ 20 นาที เราเลยก็ไปเตร่ๆ แถวๆร้าน Duty Free เลยได้น้ำหอมมาขวดหนึ่ง แม่ได้ลิปสติกมาแพ็คหนึ่ง (เป็นของฝากตามเคย) จ่ายเงินเสร็จมานั่งอีกแป็บหนึ่งก็ได้เวลาไปขึ้นเครื่องบิน คราวนี้เครื่องบินลำใหญ่กว่าตอนขามาเล็กน้อย นั่งได้ประมาณ 60 ที่นั่ง (ตอนขามาประมาณ 40 กว่าที่นั่ง) แต่ก็ยังดูขนาดประมาณเดียวกับรถทัวร์เหมือนเดิม

พอถึงเวียนนา เราก็รีบไปจัดการเรื่อง Boarding Pass ของไฟลท์เวียนนา-กรุงเทพฯ ปรากฏว่าเกือบซวย เพราะพอเราได้ Boarding Pass มาเสร็จ ก็เดินออกมาดูแม่กับเก๋ที่ไปดูของในร้าน Duty Free ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าลืมซองเอกสารไว้ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ในนั้นมีพาสปอร์ตของทุกคนอยู่ ดีว่าเตี่ยยืนรอๆ อยู่แถวๆ เคาน์เตอร์ เห็นพนักงานเขาถามๆ หาเจ้าของและกำลังจะเอาไปส่งไว้ที่ประตูทางขึ้นเครื่อง เตี่ยก็เลยไปขอคืนมาก่อนที่เราจะรู้ตัว ไม่งั้นเราคงตกใจน่าดูเหมือนกัน เพราะยิ่งเป็นพวกกระต่ายตื่นตูมอยู่ด้วย (เคยไปฮ่องกงแล้วเอา Boarding Pass ไปใส่ไว้ในกระเป๋า แล้วหาไม่เจอ ตกใจแทบตาย)

ก่อนขึ้นเครื่องก็ไปเดินเตร่ในร้าน Duty Free อีกรอบหนึ่ง เช็คราคาของแล้วก็ไม่ค่อยแตกต่างจากที่ปราก แต่มีของหลากหลายกว่าเล็กน้อย ได้เครื่องสำอางค์กระจุกกระจิกมาพอหอมปากหอมคอ มีสตางค์เหลืออีกเล็กน้อยเก๋เลยไปซื้อไอติมฮาเก้นดาซมา 2 ถ้วย เอาไว้กินแก้หิวเพราะไม่มีเวลาซื้ออาหารกลางวันกิน ใช้เศษเงินกันจนหยาดสุดท้ายแล้วก็ไปขึ้นเครื่อง ขากลับใช้เวลาแค่ 10 ชั่วโมงยี่สิบนาที (น้อยกว่าขาไปเกือบๆ ชั่วโมง เพราะลมส่งท้าย-ตามที่เพื่อนๆพี่ๆช่วยกันสรุป) กลับมาถึงกรุงเทพฯตีห้าครึ่ง เป็นอันว่าจบ 1 อาทิตย์ของการเดินทางไปเที่ยวปรากซะที เฮ้อ...