Life Update (No News)
ไม่ได้อัพเดทไดอะรี่ซะหลายอาทิตย์ ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ป่วย ไม่ได้รับงานนอกจนยุ่ง ไม่ได้มีปัญหาหัวใจแก้ไม่ตก แต่มันเริ่มจากความขี้เกียจ ต่อด้วยอาการเซ็งโดยไร้สาเหตุ ไปประจวบเหมาะกับที่ต้องทำงานที่เก๋เอามาให้ทำให้เสร็จ (เก๋พี่สาวเราเขาเอาเอกสารที่เกี่ยวกับงานของเขามาให้เราช่วยแปล ได้เงินเล็กน้อย แต่ที่เรารับทำเพราะโดนขอร้องมากกว่าเพราะอยากได้เงิน) ความจริงเขาให้เวลาเราตั้งเดือนกว่า แต่เราก็อู้ไปอู้มาจนเหลือเวลาอาทิตย์กว่าๆ ต้องรีบแปลแบบไฟลนก้น คราวหน้าถ้าต้องทำอีก เราจะไม่ทำแบบนี้แล้ว จะรีบแปลให้เสร็จแต่เนิ่นๆ จะได้มีเวลาตรวจปรู๊ฟด้วย (ก็ตั้งใจแบบนี้ทุกที แต่ก็ไม่ได้เรื่องทุกที :P)

เสาร์ก่อนโน้น (7 ก.ค.) ได้นัดเจอกับเพื่อนๆที่ลาดกระบัง ตอนแรกเราไม่ค่อยอยากจะไปเจอซักเท่าไหร่ เพราะไปทีไรก็กลับมาด้วยอารมณ์ซึมเนื่องจากการเผชิญกับคำถามเก่าๆ

>>ตอนนี้ทำงานที่ไหน - ก็ทำอยู่ที่เดิมอ่ะ (ตอบแบบนี้มา 6 ปี) - อ้าว เหรอ - อือ... ก็เขายังไม่ไล่ออก ก็ว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆ

>>แล้วทำงานอะไรอยู่อ่ะ - ก็เป็นวิศวกรเหมือนเดิม (ตอบแบบนี้มา 6 ปี) - อ้าว เหรอ - ใช่สิ... นามบัตรเขียนว่า วิศวกรเครื่องกล มา 6 ปีแล้วอ่ะ (คนอะไรฟะ ทำงานไม่มีความก้าวหน้าเอาเสียเลย)

>>งานเยอะไหม - อือ... ก็เรื่อยๆ อ่ะนะ (นั่งทำ as-built drawings กับ data entry จนสมองจะฝ่อแล้ว)

>>ตอนนี้พักอยู่ที่ไหน - ก็อยู่ที่คอนโดเหมือนเดิมอ่ะ (ตอบแบบนี้มา 5 ปี) - อยู่กะพี่สาวเหรอ - เปล่าหรอก ตอนนี้อยู่คนเดียว เพราะพี่สาวนิจแต่งงานไปแล้ว

>>อ้าว แล้วเมื่อไหร่นิจจะมีข่าวดีมั่งล่ะ - ... (เงียบ พูดไม่ออก) (เป็นแบบนี้มา ??? ปี) -_-“

>>อืมม์ เปลี่ยนไปคุยเรื่องคนอื่นเหอะ ... อ๋อ สงวนเพิ่งลาออกจากงานหละ ทำมานานแล้วชักอิ่มตัว แล้วก็อยากไปทำธุรกิจส่วนตัวด้วย... อุ้ยเพิ่งได้ลูกสาวหละ เกือบ 2 เดือนแล้ว ตั้งชื่อว่า มีมี่ นารักมะ... บุ๋ม (มากับโจ้) บอกว่าบ้านบุ๋มสร้างใกล้จะเสร็จแล้วหละ เดี๋ยวก็ต้องเตรียมซื้อของเข้าบ้าน... โอเพิ่งย้ายงานใหม่ ตอนนี้ไปทำอยู่ที่ ??? ที่เดียวกับโม งานยุ่งสุดๆ เลยหละ... สมบูรณ์ใกล้จะจบแล้ว เหลือทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จ ก็จะได้เป็นดอกเตอร์แล้ว... ฯลฯ ฯลฯ

ชีวิตทุกคนมีการเปลี่ยนกันทั้งนั้น เปลี่ยนไปตามวัยตามครรลองของชีวิต รู้สึกว่ามีแต่เราที่ชีวิตอยู่กับที่ ยิ่งนานไปก็ยิ่งรู้สึกว่าห่างจากเพื่อนๆ มากขึ้น มากขึ้น ต่อไปคงไม่มีอะไรจะคุยกันแล้ว

สรุปว่าเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในชีวิตไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไป ช่วงที่หายไป 2-3 อาทิตย์มีเหตุการณ์เล็กๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับใครนอกจากตัวเราเกิดขึ้นบ้างเหมือนกัน เป็นต้นว่า เว็บบอร์ดภาษาอังกฤษที่ maxi-web เขาเปลี่ยน server และ domain name โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เปิดไปเจออีกที (4 ก.ค.) คือเข้าไม่ได้แล้ว ตอนหลังถึงมาเจออีเมล์แจ้งข่าว ถึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ช้าไป เพราะมีข้อความบางส่วนหายไปจาก database (ก่อนที่เราจะได้ทำ backup) ต้องท่องไว้ว่าไม่มีอะไรฟรีที่ดีพร้อม ไม่มีอะไรดีพร้อมและฟรี เฮ้อ... อ้อ สรุปว่าตอนนี้เว็บบอร์ดภาษาอังกฤษมี URL ใหม่ว่า http://www.nelie.org/nitboard/board/ หรือถ้าอยากจะพิมพ์สั้นๆ ก็ http://nitboard.dk3.com/ อันนี้เป็น URL ที่เราไปสมัครไว้เป็น Auto-redirect เพื่อให้จำง่ายๆ และ เอาไว้เผื่อกรณีที่เราต้องย้ายโฮสต์โดยไม่ทันได้แจ้ง แต่มันจะมีโฆษณาอ่ะนะ (ก็อย่างที่บอก ไม่มีอะไรที่ดีพร้อมและฟรี)

วันที่ 5 ก.ค. (วันศุกร์) ได้นัดเจอกับน้องเมย์กับหน่องแบบตัวเป็นๆ ที่สยาม (เด็ก 2 คนคงอยากจะให้ป้าได้โผล่ไปเห็นแสงสีในเมืองบ้าง) หลังจากที่ได้แต่คุยๆ กันทางตัวหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ต ความจริงน้องเมย์ตั้งท่าจะนัดเจอเรามานานแล้วหละ เพิ่งมาได้โอกาสเหมาะเอาคราวนี้ ก่อนน้องเมย์จะขึ้นไปทำงานที่เชียงรายไม่กี่วัน เมื่อวันก่อนก็ได้โปสการ์ดจากน้องเมย์ ยังบ่นๆ อยู่ว่าฝนตกบ่อยๆ เลยไม่ค่อยได้ทำงาน

กิจกรรมต่างๆ หยุดไปประมาณอาทิตย์กว่าๆ เพราะไปมุ่งมั่นกับการเผางานแปลหนังสือ กับอ่านหนังสือ (ในที่สุดก็อ่าน To Kill A Mocking Bird จบหลังจากยืดเยื้อมานาน เพราะเอาไปซุกไว้ตามที่ต่างๆ แล้วหาไม่เจอ เป็นการอ่านครั้งที่ 2 ครั้งแรกอ่านตอนภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยแตก บวกกับความจำเสื่อม เลยเหมือนเป็นหนังสือที่ไม่เคยอ่านมาก่อนเลยอ่ะ)

วันพฤหัสที่แล้ว (18 ก.ค.) เราจำใจต้องไป Site เพราะโดนบังคับแกมขอร้อง ช่วงนี้ที่ออฟฟิศงานไม่ค่อยยุ่ง นายเราเขาเลยให้พาวิศวกรที่เข้าใหม่ (เด็กๆ) ไปดูโรงไฟฟ้าของจริง (Power Plant Tour) ปกติเราจะเลี่ยงการไป Site อย่างสุดฤทธิ์ ถ้าไม่จำเป็น (หรือโดนบังคับ) จะไม่ไป คนชอบถามว่าทำไมเราถึงไม่ชอบไป เราก็ตอบไม่ได้แน่ ประมาณว่าไม่ชอบอากาศร้อนๆ แดดแรงๆ ฝุ่นเยอะๆ เราพยายามจะบอกว่าการไปที่ Site ไม่เห็นจะจำเป็นกับการทำงานของเราสักเท่าไหร่ (ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด จริงๆ แล้ววิศวกรออกแบบก็ควรจะได้เห็นของจริงด้วย ถึงจะเข้าใจการทำงานได้ดี) เราทำงานมา 6 ปีกว่าแต่ไป Site นับครั้งได้เลย

คราวนี้เราเลี่ยงไม่ได้เพราะโดนกำหนดให้เป็นคนอธิบายให้เด็กๆ ฟังเกี่ยวกับ Process และการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ถึงเราทำงานมา 6 ปี แต่ประสบการณ์ทั้งหมดอยู่บนกระดาษ พอต้องมาบรรยายจากของจริงก็มั่วแหลก ดีว่ามีแต่เด็กๆ ฟัง เขาเลยจับผิดเราไม่ค่อยได้ แต่เด็กพวกนี้ได้ทำงานไปนานๆ แล้วเกิดยังพอจำได้ว่าเราบรรยายไปว่าไงมั่ง เขาต้องด่าว่าเรามั่วเช็ดแน่ๆ เลย อิอิ

วันศุกร์ที่แล้ว (19 ก.ค.) มีข่าวไม่ค่อยดี ตอนเช้ามีอีเมล์จากสำนักงานใหญ่ในแคนซัสว่ามีการปลดคนออกไป 20 กว่าคน เป็นนโยบายลดพนักงาน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี และไม่มีโปรเจ็คต์เข้ามา ก่อนหน้านี้ 1 เดือนมีการปลดล็อตใหญ่กว่า 80 คน ที่อเมริกาเขาปลดคนกันง่ายๆ เพราะบริษัทไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยมาก ไม่ว่าจะทำงานมานานเท่าไหร่ก็จ่ายแค่ค่าจ้างล่วงหน้าอาทิตย์เดียวเอง กฏหมายแรงงานไทยดีกว่าเยอะในเรื่องนี้ คือ ถ้านายจ้างจะให้เราออกจากงาน ยิ่งทำนานยิ่งจ่ายเยอะ ต้องจ่ายเงินชดเชยเยอะ (3 เท่า 6 เท่า 8 เท่าของเงินเดือนแล้วแต่อายุงาน) เป็นการช่วยลูกจ้างเพราะเราไม่มีระบบประกันสังคมที่ดีเหมือนอเมริกา

พอตอนเที่ยงได้ข่าวว่ามีการปลดพนักงานของออฟฟิศที่กรุงเทพฯ 3 คน เป็นระดับหัวหน้าทุกคน เราได้ฟังแล้วก็อึ้งไป ไม่ได้กลัวว่าจะตกงานหรอกนะ แต่รู้สึกว่าทำไมมันง่ายจัง ทำงานกันมาตั้งหลายปี (มีอยู่คนหนึ่งทำมาตั้งแต่ตั้งออฟฟิศนี้ใหม่ๆ) ถึงบทจะปลดเขาก็บอกว่า คุณไปได้แล้ว หัวหน้าแผนกเราเขารีบเรียกประชุมเพื่อชี้แจงว่า การปลดพนักงาน 3 คนที่ว่าไม่ได้เกี่ยวนโยบายลดพนักงานของบริษัทแม่ที่อเมริกาอย่างที่ได้อีเมล์ตอนเช้า แต่เป็นเรื่องของ Performance ของแต่ละบุคคล ออฟฟิศที่กรุงเทพฯ (ยัง) ไม่มีนโยบายลดคน เพราะฉะนั้นคนที่ Performance ไม่แย่ ก็ไม่ต้องตกใจ เขาคาดว่าออฟฟิศนี้น่าจะยังมีงานทำอยู่ เพราะคนของเราทำงานได้และค่าแรงของเราถูกกว่าที่อเมริกา บลา… บลา… บลา… เราไม่ได้ตกอกตกใจอะไรหรอก อยู่บริษัทนี้มา 6 ปีเจอเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าถึงเวลาเขาจะให้เราออกจากงานขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ค่อยหางานใหม่ ตอนนี้ก็นั่งเล่นไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะเดือดร้อนไปทำไม

เรื่องสุดท้าย... ในที่สุดเราก็เขียนเรื่องไปเที่ยวปรากจนจบ เขียนได้ 4 ตอนยาวๆ ที่ขนาดตัวเราอ่านเองก็ยังรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ (เราเตือนคุณแล้ว) แต่ก็อยากจะบันทึกเอาไว้กันลืม ใครอยากอ่านบันทึกการเดินทางแห้งๆ ที่มีแต่ตัวหนังสือไม่มีรูปประกอบ (เพราะไม่ค่อยได้ถ่ายรูป และขี้เกียจสแกนเป็นไฟล์ เผอิญยังเชยอยู่ไม่มีกล้องดิจิตอล เก๋ถ่ายรูปไปประมาณ 3 ม้วน แต่ของเรานี่ฟิล์ม 40 รูปม้วนแรกยังไม่หมดเลย ประมาณว่ามัวแต่เครียดกับการคิดวางแผนเที่ยว เลยไม่มีอารมณ์ถ่ายรูป กลับมาแล้วก็เสียดายว่าน่าจะถ่ายรูปมาเยอะๆ จะได้เอามาประกอบกับเรื่องเล่าของเรา มานึกได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ... เหะๆๆ เข้าวงเล็บซะยาวเลยอ่ะ) ก็ย้อนกลับไปอ่านฆ่าเวลาได้ แต่ถึงไม่อ่านก็ไม่ได้พลาดอะไรหรอก