The Journey - Part I
วันก่อนไปรื้อเอกสารเก่าๆ แล้วไปเจอพาสปอร์ตเล่มแรก เอามาเปิดๆ ดูก็รู้สึกว่าฉันนี่เดินทางเยอะใช่เล่นเหมือนกัน วันก่อนกอล์ฟเขียนว่าย้ายที่อยู่ไปโน่นไปนี่ชีพจรลงเท้าสุดๆ ความจริงฉันก็ย้ายที่อยู่ค่อนข้างบ่อย แต่ (ยัง) ไม่เขียนเล่าดีกว่า ฉันเอาไอเดียของกอล์ฟมาดัดแปลง โดยจะเขียนเรื่องการไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แทน จากพาสปอร์ตเล่มแรกของฉัน มีการเดินทางดังนี้

1. ฮ่องกง จีน (ซัวเถา) - 24 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2529

เดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ได้นั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก จุดประสงค์หลักคือเตี่ยจะไปเยี่ยมญาติที่ซัวเถา (เตี่ยเกิดที่เมืองจีน ย้ายมาอยู่เมืองไทยตอนอายุ 14-15) แล้วก็เลยจะพาฉันกับเก๋ไปด้วย สมัยก่อนไม่มีเครื่องบินไปเมืองจีนโดยตรง เราไปค้างคืนที่ฮ่องกงคืนหนึ่ง แล้วนั่งเรือจากฮ่องกงไปเมืองจีน เรือออกตอนเย็นไปถึงเมืองจีนตอนเช้า ห้องนอนในเรือแย่มากๆ ทั้งเล็กและอับ ห้องน้ำก็สกปรก (เป็นห้องน้ำรวม) เป็นครั้งแรกที่ฉันได้นั่งเรือใหญ่ๆ แบบมีห้องนอน แต่เป็นประสบการณ์ที่ไม่โสภาเอาเสียเลย

จากท่าเรือที่เมืองจีนมีรถตู้มารับพวกเราเข้าไปที่หมู่บ้าน (เราเรียกกันเล่นๆ ว่า "หมู่บ้านตั้ง" อยู่ใกล้ๆ ซัวเถา) นั่งรถประมาณครึ่งวัน คิดว่าระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ถนนไม่ค่อยดี และต้องขับรถหลบรถจักรยานที่วิ่งอยู่เต็มถนน พวกเราอยู่ที่หมู่บ้าน 3-4 วัน ไปเคารพหลุมศพบรรพบุรุษที่บนภูเขา ต้องเดินหลายๆ กิโลเลยหละ แล้วก็ตระเวนไปตามบ้านญาติๆ ในหมู่บ้าน นั่งจิบน้ำชาคุยถามสารทุกข์สุขดิบ (เป็น 3-4 วันที่ยาวนานมาก เพราะฉันคุยกับใครไม่รู้เรื่อง)

พอขากลับจากเมืองจีนมาฮ่องกง เราเปลี่ยนจากเรือเป็นนั่งรถบัสแทน นั่งรถกันวันหนึ่งเต็มๆ ตอนใกล้ๆ จะถึงฮ่องกง รถเสียอีกตะหาก ต้องเสียเวลาซ่อมเป็นชั่วโมง มาถึงฮ่องกงเกือบค่ำ เราอยู่ที่ฮ่องกงอีก 3-4 วัน ได้ไปเที่ยวโอเชียนปาร์ค ได้นั่งรถกระเช้าข้ามภูเขา ดูโชว์ปลาโลมากับแมวน้ำ (ฉันชอบใจแมวน้ำมาก เอามาเล่าให้คนอื่นๆ ฟังว่า แมวน้ำร้อง เอิ๋วๆ แถมทำท่าตบมือได้ด้วย)

2. ฮ่องกง จีน (ซัวเถา) รอบ 2 - 2-11 ตุลาคม 2531

ผ่านไป 2 ปี เตี่ยจะไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีนอีกแล้ว คราวนี้แม่จะไปด้วย แล้วก็เลยชวนฉันไปเป็นเพื่อน เราก็ยังต้องไปแวะฮ่องกงก่อนเหมือนครั้งแรก แต่จากฮ่องกงเราเปลี่ยนเป็นนั่งรถไฟไปเมืองชิมจุ้น (ชื่อประมาณนี้อ่ะนะ อาจจะออกเสียงผิดๆ) แล้วเช่ารถจากชิมจุ้นไป "หมู่บ้านตั้ง" พวกเราไปนอนค้างที่ชิมจุ้นคืนหนึ่ง เตี่ยอุตส่าห์ให้บริษัททัวร์ที่ฮ่องกงจดชื่อโรงแรมมาให้ แต่พวกเราไม่รู้ว่าโรงแรมอยู่ตรงไหน พอให้คนที่รับจ้างหาบของที่ท่ารถไฟพาไป เขาก็พาไปที่โรงแรมอะไรไม่รู้ ห้องก็เก่าๆ แถมไฟในห้องน้ำก็เสียอีก โรงแรมจิ้งหรีดสุดๆ

วันรุ่งขึ้นเราเช่ารถจากชิมจุ้นไปซัวเถา ฉันไม่ค่อยมั่นใจว่าคนขับรถจะรู้จักที่ที่เราจะไปและจะไม่หลอกเรา แต่เตี่ยดูจะมั่นใจว่าคุยกับเขารู้เรื่อง เรานั่งรถกันไปเกือบวันหนึ่งถึง ตอนกลางวันแวะกินอาหารในภัตตาคาร คนขับรถเขาก็มากินกับเราด้วย และเป็นสั่งอาหารให้ (ประมาณว่าเตี่ยกับแม่ก็ส่งภาษากับคนที่ร้านอาหารไม่ค่อยรู้เรื่อง) อาหารก็อร่อยดี เตี่ยบอกว่าเขาคงเลือกเอาร้านที่ดูแพงๆ หน่อย เพราะปกติเขาคงไม่มีโอกาสมากินที่ร้านแบบนี้

นอกจากการเดินทางแล้วฉันจำไม่ได้ว่าเราทำอะไรที่ฮ่องกงและที่ “หมู่บ้านตั้ง” บ้าง แต่รู้สึกว่าแม่ไปคุยๆ กับคนในหมู่บ้านแล้วเลยได้รู้ว่าแม่ก็ยังมีญาติอยู่ที่เมืองจีนเหมือนกัน (แม่เกิดในเมืองไทย แต่เป็นลูกคนจีนแท้ๆ) หลังจากทริปนี้เวลาจะไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีน ก็จะหมายถึงทั้งไปเยี่ยมญาติเตี่ยและญาติแม่

3. อังกฤษ + ยุโรปชะโงกทัวร์ - 17 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2534

ตอนที่อยู่มัธยมฉันเริ่มติดต่อกับ Pen friend ชาวออสเตรีย ชื่อ คัททารีนา ฉันได้ชื่อคัททารีนามาจากพี่ดวง ซึ่งเป็นเพื่อนของเก๋ (พี่สาวฉัน) เพราะพี่ดวงเขาติดต่อกับอเล็กซานดราพี่สาวของคัททารีนาอยู่ก่อนแล้ว เรา (คัททารีนา-ฉัน อเล็กซานดร้า-พี่ดวง) ติดต่อกันอยู่หลายปี พี่ดวงเขามี Pen friend อีกคนหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้แล้วอ่ะ) เป็นคนออสเตรียเหมือนกันอยู่ในเวียนนา เขามาเที่ยวเมืองไทย พี่ดวงก็พาเขาเที่ยวต้อนรับขับสู้อย่างดี พอเขากลับไปเขาก็เลยชวนให้พี่ดวงไปเยี่ยมเขาบ้าง พี่ดวงก็มาชวนเก๋กับฉัน เราก็เลยตกลงกันว่าจะไปเยี่ยม Pen friend กันตอนปิดเทอม (ตอนนั้นฉันอยู่ปี 2 ขึ้นปี 3)

เราคิดกันว่าไหนๆ เสียค่าเครื่องบินตั้งเยอะก็น่าจะเที่ยวประเทศอื่นๆ ในยุโรปด้วย ตอนแรกตั้งใจจะแบกเป้เที่ยวกันเอง แต่รู้ว่าแม่ต้องไม่ให้ไปแน่ๆ ก็เลยซื้อไปทัวร์ของบริษัท Insight ซึ่งเป็นบริษัทของอังกฤษ (หรืออเมริกัน??) เป็นทัวร์ที่เริ่มลอนดอน พวกเราต้องหาตั๋วเครื่องบินทำวีซ่ากันไปเอง แต่เราก็จ้างบริษัทในเมืองไทยที่ขายตั๋วเครื่องบินกับทัวร์ของ Insight าให้ทำวีซาให้ (เขาบอกว่าถ้าไปทำเองอาจจะยาก เพราะประเทศบางประเทศ อย่างเยอรมัน เขาจะเพ่งเล็งผู้หญิงไทยมากเป็นพิเศษ กลัวจะไปขายมากกว่าไปเที่ยว ยิ่งสาวๆ สวยๆ อยู่ด้วย 5555)

เรานั่งเครื่องบินไปลอนดอน ไปรวมกับคนอื่นประมาณ 3-40 คนในทัวร์ (มาจากที่ต่างๆ กัน อย่าง อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย :( สิงคโปร์ ฯลฯ คือจากประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ส่วนเราเป็นกะเหรี่ยงกลุ่มเดียว ไกด์พูดอะไรบางทีก็เข้าใจ บางทีก็ไม่เข้าใจ แต่ได้ดูบ้านดูเมืองก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว) เรานั่งรถบัสไป Dover ต่อเรือเฟอร์รี่ข้ามช่องแคบอังกฤษไปขึ้นฝั่งที่เมือง Calais ของฝรั่งเศส แล้วนั่งรถบัสก็ตะลอนเที่ยวยุโรปแบบผ่านๆ (ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรีย) แต่ละเมืองก็ใช้เวลาครึ่งวันหรือวันหนึ่งเป็นอย่างมาก จำได้เลาๆ ว่าค้างคืนที่ Amsterdam Heidelberg Luzern และ Paris เราขอแยกจากกลุ่มทัวร์ตอนอยู่ที่ปารีส แล้วนั่งรถไฟย้อนกลับไปออสเตรียไปหา Pen friend เราไปพักที่เวียนนาก่อน แล้วก็ไปหาอเล็กซานดร้ากับคัททารีนาที่เมือง Wels ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ แล้วก็ไปเที่ยว Salzburg ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวรองจาก Vienna เพราะเป็นบ้านเกิดของ Mozart (อ่านว่า มท-สาร์ท)

เที่ยวในออสเตรียแล้วก็นั่งรถไฟย้อนกลับมาที่ Calais นั่งเรือเฟอร์รี่มา Dover แล้วก็ นั่งรถบัสเข้าลอนดอน เราไปพักที่ Youth Hostel ในลอนดอน (ค่าพักคืนละ 20 กว่าปอนด์หรือไงเนี่ยแหละ เป็นห้องรวมเหมือนหอพัก มีแค่เตียงกับตู้เก็บของให้ ห้องหนึ่งมีประมาณ 12 เตียง แยกชายหญิง ห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำรวม แต่ทุกอย่างสะอาดสะอ้านมาก) ในลอนดอนนี่เราก็ตะลุยเที่ยวกันเอง ประทับใจกับความสะดวกสบายและเข้าใจง่ายของระบบขนส่งมวลชนในอังกฤษมาก Underground หรือ Tube มีสถานีอยู่แทบจะทุกหัวถนนหรือสี่แยกที่เราจะไป รถเมล์ก็กระจายไปทั่ว แต่เราไม่ค่อยได้ขึ้นเพราะกลัวหลง ฉันว่าเป็นเพราะความประทับใจตอนที่ไปเที่ยวนี้เอง ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจไปเรียนต่อที่อังกฤษแทนที่จะไปอเมริกาอย่างคนอื่นๆ

4. อังกฤษ (ไปเรียนปริญญาโท) - 3 สิงหาคม 2536 - 27 ตุลาคม 2538

ฉันมีความคิดว่าอยากไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ตอนปี 3 เพราะอยากเก่งภาษาอังกฤษ คิดว่าอยากไปอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษซักพักหนึ่ง ตอนแรกว่าจะขอที่บ้านไปเรียนภาษาอย่างเดียวประมาณ 3-6 เดือน แต่คิดถึงค่าใช้จ่ายแล้ว คิดว่าไม่คุ้มเลยก็เลยขอไปเรียนปริญญาโทแทน ความที่ที่บ้านฉันยังไม่เคยมีใครได้ไปเรียนเมืองนอกมาก่อน ฉันก็เลยต้องจัดการติดต่อหาที่เรียนเอง ฉันไปงานนิทรรศการเรียนต่อที่อังกฤษที่จัดที่โรงแรมอะไรซักอย่างตรงถนนวิทยุ ก็ได้ข้อมูลมาเยอะเหมือนกัน ฉันสมัครไป 2-3 ที่ส่วนใหญ่ก็ตอบรับหมด (ยกเว้นที่ที่ฉันอยากไปเรียนมากที่สุด คือ Imperial College เขาบอกว่าฉันสมัครช้าไป ชั้นเรียนเขาเต็มไปแล้ว ให้สมัครใหม่ปีหน้า แต่ฉันไม่อยากรอแล้ว เพราะรู้ว่าถ้ารอที่บ้านอาจจะเปลี่ยนใจไม่ให้ไป) ฉันเลือกไปเรียน Sheffield

ฉันบินไปอังกฤษก่อนเปิดเทอมประมาณ 2 เดือนเพื่อไปเรียนภาษาที่ University of Surrey (อ่านว่า ซา-รี่) ในเมือง Guildford อยู่ห่างจาก London ประมาณ 1 ชั่วโมง ตอนไปครั้งแรกเก๋ไปกับฉันด้วย เพราะที่บ้านเป็นห่วง ก็เลยให้เก๋ไปเป็นเพื่อนไปดูความเป็นอยู่ของฉันมารายงานให้แม่ฟัง ฉันจำได้ว่าวันที่ฉันไปส่งเก๋กลับเมืองไทย ตอนนั่งรถไฟจากสนามบินกลับมาที่ Guildford ฉันรู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เหมือนกัน เพราะต้องอยู่คนเดียวจริงๆ แล้ว แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ฉันเรียนภาษาอังกฤษที่ Surrey 2 คอร์สแล้วก็ย้ายไปเริ่มเรียนจริงๆที่ Sheffield ตอนเดือนตุลาคม

5. กลับมารับปริญญา - 13-24 ตุลาคม 2536

ความที่ฉันเป็นลูกคนเล็กและเป็นคนแรกของบ้านที่ได้ไปเรียนเมืองนอก ที่บ้านก็เลยค่อนข้างจะเป็นห่วง ฉันก็เกลี้ยกล่อมเขาต่างๆ นานาให้ยอมให้ฉันไปเรียน หนึ่งในกลยุทธ์ที่ฉันเอามาใช้ก็คือ บอกว่าฉันจะไปเรียนภาษาอังกฤษก่อนประมาณ 2 เดือน แล้วจะกลับมารับปริญญาตอนเดือนตุลาคม โดยบอกว่าช่วงที่ไปเรียนภาษาอังกฤษฉันก็จะได้มีโอกาสไปลองๆ ใชัชีวิตคนเดียวอยู่ในอังกฤษ ถ้าฉันรู้สึกว่ามันลำบาก ไม่ดี ไม่น่าอยู่ ทนไม่ได้ กลับมารับปริญญาแล้วฉันก็จะไม่กลับไปอีก แต่ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ายังไงๆ ฉันก็ต้องอยู่ (ให้) ได้ เก๋เป็นคนแนะนำกลยุทธ์นี้ เพราะเป็นวิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป คือ แม่ก็จะไม่คิดถึงฉันมาก เพราะรู้ว่าฉันไปประมาณ 2 เดือนก็จะกลับมาเยี่ยม ฉันกลับมารับปริญญาแล้วก็กลับไปเรียนที่ Sheffield ต่อจนจบ

อืมม์ เพิ่งได้ครึ่งทางเองอ่ะ ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อละกัน