Professionals
ผ่านมา 4 วัน ไม่ได้ออกจากออฟฟิศก่อน 1 ทุ่มซักวัน วันนี้ตอน 4 โมงเย็นถามพี่ที่นั่งบูธข้างๆ ว่า “พี่ๆ วันนี้วันพฤหัสใช่ไหม” คือรู้สึกว่าอาทิตย์นี้มันนานมากจนน่าจะเป็นวันศุกร์ได้แล้ว

ปกติเราขับรถไปทำงานตอนเช้าจะเปิดวิทยุฟังข่าวเพื่อไม่ให้ตกข่าว (ไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์) ส่วนขากลับตอนเย็นจะฟังสถานีเพลงแทน จะมีบางอารมณ์ที่เซ็งๆ เปลี่ยนวิทยุไปสถานีไหนๆ เพลงก็ไม่เพราะ แต่ช่วงที่ผ่านมานี่ไม่ได้เซ็ง เพียงแต่เหนื่อย (ใจ) ไม่ใช่ฟังเพลงไม่เพราะ แต่ฟังเพลงไม่ได้ยิน คือ สมองมันมัวแต่ไปคิดเรื่องอื่นอ่ะ คิดๆ อยู่ว่าถ้ายังขับรถใจลอยแบบนี้ เดี๋ยวก็มีเรื่องอีกกันพอดี เฮ้อ...

ที่บริษัทเราเขาจะเรียกพนักงานว่า Professionals ไม่ใช่ Employees เราเข้าใจเอาเองว่า เขาจะบอกว่าพวกเราคือ “มืออาชีพ” ไม่ใช้ลูกจ้างกระจอกๆ ประมาณว่าเรียกเพราะๆ เข้าไว้ เป็นการหลอกล่อพนักงานด้วยคำหวาน แต่จริงๆ แล้วเราว่าเวลาทำงานเนี่ย คำว่า “มืออาชีพ” เนี่ยมันสำคัญมากๆ เลย ถ้าอยู่ในวงการที่คนส่วนใหญ่ทำงานแบบมืออาชีพนี่จะไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ถ้าลองได้ไปเจอคนที่ทำงานแบบไม่มืออาชีพขึ้นมา (ในที่นี้ขอเรียกว่าทำงานแบบ "มวยวัด") จะรู้ว่ามันแตกต่างกันมาก

วันนี้เรามีตัวอย่างหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ที่บริษัทเราเขาเคร่งเครียดมากกับเรื่องซอฟท์แวร์เถื่อนมาก คือ ไม่ให้ใช้ในบริษัท ซอฟท์แวร์ต้องมีลิขสิทธ์ทั้งหมด เขาเป็นบริษัทอเมริกันอ่ะนะ เขามีเงินก็ทำตามนโยบายนี้ได้ อย่างโปรแกรม AutoCAD แพงๆ License ละเป็นแสน ที่ออฟฟิศเรามีอยู่ 10 กว่า License คือ เขาถือว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย เขาก็ไม่หลบเลี่ยง ไม่เหมือนบริษัทไทยๆ ที่ใช้ซอฟท์แวร์เถื่อนกันแทบทั้งนั้น (แต่นั่นก็คือเหตุผลว่า ทำไมบริษัทเราไม่ค่อยได้งาน เพราะเวลาไปประมูลงานกับเขาทีไรก็เสนอราคาซะสูงลิ่ว 2 เท่าของบริษัทไทย ก็ค่าใช้จ่ายเขาเยอะอะนะ)

เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บริษัทเราเขาก็จะพยายามทำให้มันเหมือนๆ กันเป็นมาตรฐาน เช่น ใช้รุ่นเหมือนๆ กัน เซ็ตอัพเหมือนๆ กัน ลงโปรแกรมชุดเดียวกันสำหรับคนที่ทำงานเหมือนๆ กัน (เช่น วิศวกร บัญชี Admin แยกกันไปตามแผนก) มันก็ยังแก้ปัญหาไม่ค่อยได้ เพราะใช้นานๆ ไปก็จะมีคนเอาโปรแกรมโน้นนี้ไปลงกันเอง แก้อะไรๆ เซ็ตอัพไว้ตอนแรก แล้วพอเวลาเกิดปัญหาเครื่องใช้งานไม่ได้ ก็จะเสียเวลางมหานานมากกว่าจะรู้ว่ามันเสียตรงไหน

ตอนนี้ที่บริษัทเราเขากำลังจะเปลี่ยนไปใช้ Windows XP ด้วยว่ามันเป็น OS ที่มี Security สูงมากๆ คือ ถ้าเซ็ตอัพถูกต้อง คนที่จะเข้าไปแก้ค่าต่างๆ หรือจะลงโปรแกรมเพิ่มจะต้องเป็น Administrator คนที่เป็น User ธรรมดาๆ จะใช้งานได้อย่างเดียว เขาก็เริ่มทำที่เมืองนอกก่อน ก็ทำการทดสอบต่างๆ จนค่อนข้างจะแน่ใจแล้ว ว่าใช้งานได้กับโปรแกรมหลายๆ อย่างที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง เขาก็ทำ Image ของเครื่องที่เขาทดสอบแล้วผ่านมาให้ออฟฟิศเราที่กรุงเทพฯ

คำว่าทำ Image ก็คือเป็นเหมือนกับการ Copy Hard disk ส่งมา เราก็ต้องเอา Image อันนี้มา Copy ลงบนเครื่องอื่นๆ คล้ายๆ กับเวลาที่เราไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่พันธุ์ทิพย์ แล้วเขา “Ghost” หรือ “Clone” ฮาร์ดดิสก์มาให้เราซึ่งในนั้นก็จะมีโปรแกรมเถื่อนๆ ต่างๆ เต็มไปหมด มันผิดกฎหมาย เพราะเขาไม่มีลิขสิทธิ์ (หรือมีลิขสิทธิ์ที่จะใช้ได้แค่เครื่องเดียว แต่ทำซ้ำสำหรับใช้หลายๆ เครื่อง) แต่ของบริษัทเรานี้มันไม่ผิดกฎหมาย เพราะเขาไปเซ็นสัญญากับไมโครซอฟท์ซื้อลิขสิทธิ์เป็น Corporate License ก็เลยทำได้

ที่เขาต้องการให้ Ghost หรือ Clone ฮาร์ดดิสก์ก็เพื่อที่ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีการเซ็ตอัพพื้นฐานที่ตรงกันเป๊ะ และการแก้ไขเพิ่มเติมก็จะทำโดย Administrator (แผนกไอที) ซึ่งจะเป็นเหมือนตำรวจ คอยตรวจและป้องกันไม่ให้มีการแหกกฎ (เช่น เอาซอฟท์แวร์เถื่อนมาลง แก้ไขเปลี่ยนแปลงเซ็ตติ้งต่างๆ) ถ้าจะมีการแก้ไข ก็มีการบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐาน หรือได้รับอนุญาตจากหัวหน้าเป็นกรณีๆ ไป

เมื่อเกือบ 2 เดือนก่อนทางเมืองนอกเขาส่งมา Image มาเป็น “คล้ายๆ กับ zip file” คือ จะต้องมีโปรแกรมตัวหนึ่งมาทำการ “unzip และ copy” ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ หัวหน้าไอทีคนเก่าเขาใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Norton Ghost สำหรับทำงานนี้ ในออฟฟิศมีเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง ที่มีโปรแกรมนี้อยู่ เขาก็ Ghost เครื่องคอมพิวเตอร์ในบริษัทไปประมาณสิบกว่าเครื่องแล้ว

หลังจากที่เราคุยกับลูกน้องแผนกไอที 2 คน เราค้นพบวันนี้ว่า เครื่องสิบกว่าเครื่องที่ทำ Ghost ไปแล้วมีการแก้ไข Image ไปเยอะมาก เพราะ Image ที่ได้มาใช้ไม่ได้กับฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในออฟฟิศเรา เพราะว่ามีปัญหาในการลงโปรแกรมเพิ่มเติม เพราะว่า ฯลฯ เขาก็เลยต้องแก้ๆ กันไปแบบเดาสุ่ม เพราะแต่ละเครื่องก็เจอปัญหาไม่เหมือนกัน เราถามว่า ทำไมเขาไม่ส่งคำถามกลับไปที่เมืองนอกว่าเกิดปัญหาขึ้นเพราะอะไร ไหนว่า Image นี้ถูกทดสอบมาแล้วว่าใช้ได้กับฮาร์ดแวร์ที่ระบุ ลูกน้อง 2 คนบอกว่าเขาไม่รู้ว่าต้องบอก คิดว่าต้องแก้ไขทำยังไงก็ได้ให้มันใช้งานได้ เราไม่รู้ว่าทำไมหัวหน้าไอทีเก่าถึงไม่บอกลูกน้องว่าต้องทำอะไรอย่างไง เราเดาเอาว่าปัญหาก้อนเบ้อเริ่มตรงนี้คือ ปัญหาของการสื่อสารกันให้เข้าใจตรงกัน เดาเอาว่าหัวหน้าไอทีคนเก่าก็อาจจะไม่รู้หรือไม่เข้าใจประเด็นที่ต้องทำเหมือนกัน

ความจริงจะว่าไปแล้วหัวหน้าไอทีคนก่อนหน้าเราเขาเป็นคนที่ทุ่มเทที่จะแก้ปัญหาดีนะ แต่เป็นการแก้แบบมวยวัด ไม่ใช่แบบมืออาชีพ เพราะประเด็นมันอยู่ที่ว่า ก็ในเมื่อเขาทดสอบมาแล้วว่ามันใช้ได้ เขาบอกว่าห้ามเปลี่ยนแปลง Image โดยไม่มีการบอกกล่าว เพราะฉะนั้นเมื่อเจอปัญหาเขาไม่จำเป็นต้องแก้ (ที่จริงบอกว่า “ต้องไม่แก้”) แต่ต้องรายงานกลับไป อีกอย่างหนึ่งเราลืมบอกไปว่าที่ออฟฟิศเรามีคนประมาณ 5-60 คน แต่ที่เมืองนอกมีเป็นพันคน ปัญหาที่เราเจอมันไม่น่าจะ Unique มากๆ จนไม่ตรงกับพันกว่าเคสที่เจอที่เมืองนอก เขาน่าจะได้เจอปัญหานี้ก่อนหน้าเราแล้ว และน่าจะมีทางแก้ให้เราอยู่แล้ว

นอกจากเรื่องทำผิดจากที่เขาสั่งให้ทำแล้ว เราก็ได้รู้อีกว่าโปรแกรม Norton Ghost ที่มีอยู่ใน 2 เครื่องของแผนกไอที เป็นโปรแกรมเถื่อน เราก็ตกใจ เฮ้ย... เถื่อนได้ไง ก็นโยบายบอกว่าห้ามใช้ของเถื่อน เราเป็นไอทีมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ User เอาโปรแกรมเถื่อนมาลง ไหงเราใช้ของเถื่อนเอง ลูกน้องไอทีบอกว่า ก็เราไม่มีโปรแกรมที่มี License แต่เมืองนอกสั่งให้ทำ หัวหน้าไอทีเก่าก็เลยไปหาแผ่นจากที่อื่นมาใช้ เราก็คิดในใจ "มวยวัด" อีกแล้ว สำหรับ “มืออาชีพ” ถ้าบริษัทจะให้เราทำงาน เขาต้องให้เครื่องมือเราด้วย ถ้าไม่มีเครื่องมือให้เรา แล้วเราทำงานให้ไม่ได้ ก็ไม่ใช่ความผิดเรา เป็นความผิดบริษัท เราก็เลยบอกสองคนนั้นไปว่า บริษัทจะต้องซื้อซอฟท์แวร์ที่ถูกกฎหมายให้

เราไปเล่าให้นายที่เป็นฝรั่งฟัง เขาบอกว่า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไอทีคนเก่าไม่มาบอกเขาว่า ไม่มีโปรแกรมที่ถูกกฎหมายใช้ ต้องซื้อ แต่กลับไปหาแผ่นเถื่อนมาใช้อย่างสบายใจเฉิบ เฮ้อ... เราคิดยังไงก็คิดไม่ออก คิดออกอยู่อย่างเดียวว่า มวยวัด

Accomplishment of the week

เมื่อวันก่อน Hard Drive ของ Mail Server มันเสีย คนที่เมืองนอกส่งอีเมล์มาบอกให้เราเรียกช่างมาแก้ เพราะบริษัทมี Worldwide Warrantee อยู่ เราก็โทรไปที่บริษัทฮาร์ดดิสก์ เจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งเขาก็ถามคำถามอะไรเรามากมาย เราก็เบ๊อะๆ บ๊ะๆ ตอบไปตามที่เราเดาได้จากเอกสารที่ไปคุ้ยจากตู้ไฟล์ ทุกคำตอบก็จะมี “คิดว่าใช่นะคะ” “คงเป็นอย่างนั้นมั้งคะ” “น่าจะใช่แบบนั้นหละค่ะ”

เราโทรไปตอนใกล้ๆ เที่ยง ซักบ่าย 3 พนักงานส่งของก็มาส่งของให้ เขาบอกว่าช่างจะตามมาทีหลัง แต่ปรากฏว่าช่างโทรมาบอกว่ามาไม่ทัน เขาจะมาได้วันรุ่งขึ้น เขาก็ถามเราว่าเราเปลี่ยนเองได้ไหม เซิร์ฟเวอร์เป็นแบบไหน Drive ต่อกันแบบไหน OS เป็นอะไร คือเขาถามเพื่อจะรู้ว่าเราจะสามารถเปลี่ยนเองได้ไหม หรือจะต้องให้เขามาเปลี่ยนและเซ็ตค่าให้ เราก็ตอบเขาไม่ได้ ในที่สุดก็เลยบอกว่า รอให้เขามาวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ

พอวันรุ่งขึ้นที่ช่างมา เราก็เข้าไปดูเขาเปลี่ยน Drive ที่เสีย ซึ่งมันจะมีไฟสีแดงโชว์ ที่เขาทำคือ กดปุ่มล็อค เปิดที่จับ ดึง Drive เก่าออกมา เสียบ Drive ใหม่เข้าไป ปิดที่จับ กดปุ่มล็อค ไฟสีแดงก็หายไป เปลี่ยนเป็นไฟสีเขียวแทน โห... ตอนที่เขาถามคำถามเราหนะยากมากๆ เลยนะ แต่พอตอนเปลี่ยนจริงๆ แค่เนี้ยอ่ะนะ เฮ้อ... แต่ก็ต้องนับเป็นความสำเร็จของเรา ในการคุยกับเขาได้รู้เรื่องจนเขาเอา Drive ถูกรุ่นมาส่งให้ได้ 5555