Episode I - The beginning of the Jedi...
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสตาร์วอร์ แต่เป็นการเริ่มต้นของ “เจได-อะรี่” อะนะ...

วันเสาร์ ที่ 5 ตุลาคม

ตื่นมาตอนเช้า กินกาแฟที่ชงด้วยเครื่องชงกาแฟอันใหม่ (เพิ่งซื้อมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ในราคาลด 15 เปอร์เซ็นต์... ดีใจมาก เพราะตอนที่ซื้อ ตัดใจแล้วว่าจะซื้อรุ่นแพง และไม่ได้คาดว่าจะได้ลดราคา) ในตู้เย็นและขนมในสต็อคหมดพอดีเลยต้องงัดเอาขนมปังขิงที่พี่ที่ออฟฟิซซื้อมาฝากตอนที่ไปเที่ยวสแกนดิเนเวียนมากิน แล้วก็สรุปได้ว่าต้องเอากลับไปที่บ้านที่แม่กลองได้แล้ว เพราะถ้าช้ากว่านี้ไปมากๆ มันจะไม่กรอบและไม่อร่อย

รอให้ช่างของโครงการมารับตังค์ค่าซ่อมห้องน้ำตอนเก้าโมงกว่าๆ จ่ายตังค์เสร็จเราก็ซิ่งรถไปสอนภาษาอังกฤษ เลิกสอนตอนบ่ายสอง หิวงั่กเลย ระหว่างลงลิฟท์ก็นึกถึงก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูต้มยำไปด้วย แต่พอไปเอากระเป๋าตังค์ที่รถ ถึงรู้ว่าลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่บ้าน (อีกแล้ว!!!) โชคยังดีที่มีตังค์สำรองเก็บไว้ในรถ แต่เป็นแบ็งค์ห้าร้อย เราต้องเดินไปหาที่แตกแบ็งค์ก่อน (ก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามละ 20 บาท จ่ายแบ็งค์ห้าร้อย กลัวแม่ค้าจะแถมตะบวยมาด้วย) เลยว่าจะไปซื้อหนังสือดีกว่า

ระหว่างที่เดินหาร้านหนังสือก็เริ่มสังเกตเห็นธงสามเหลี่ยมสีเหลืองแพรวพราวไปหมด เลยเอะใจ... เอ๊ะ.. เขาเริ่มกินเจกันแล้วหรือเปล่าหวา... โทรกลับไปถามเตี่ย เตี่ยบอกว่า เริ่มกินวันนี้แล้ว บางคนเขาเริ่มกันกินกันไปตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วด้วยซ้ำ อ้าว... แล้วกัน เมื่อเช้าเราดันกินขนมปังไปแล้วด้วยสิ แต่เตี่ยบอกว่าไม่เป็นไร เริ่มกินมื้อนี้ก็ได้ เพราะเขาจะเริ่มเชิญเจ้าตอนบ่าย เราก็เลยต้องตัดใจจากก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูต้มยำ ไปกินบะหมี่ผัดที่ร้านอาหารเจแทน เขาทำไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ เพราะใส่น้ำมันมากเกินไปจนเลี่ยน ตอนเดินกลับมาที่จอดรถ ผ่านรถเข็นขายกล้วยทอด รู้สึกยังไม่ค่อยอิ่มก็เลยซื้อกล้วยทอดมา 10 บาท กินไปแล้วก็ยังรู้สึกเลี่ยนๆ จากบะหมี่ผัด เลยต้องแวะซื้อน้ำแดงมากินแก้เลี่ยน

กลับมาบ้านหวังจะมีขนมเจหรือผลไม้ให้กิน เห็นมีส้มโออยู่ไม่กี่กลีบวางอยู่ เราเลยฟาดเรียบ เฮ้อ... มื้อเย็นแม่ทำผัดถั่วงอกกับเห็ดรวมมิตร ต้มผักกาดดองกับเห็ดโคน ผัดผักกะหล่ำกับเห็ดและเต้าหู้ ทุกคนกินข้าวเยอะกว่าปกติ เตี่ยบอกว่าวันนี้ไปวิ่งได้แค่ครึ่งรอบก็รู้สึกหิว เลยต้องไปซื้อเต้าหู้ทอดเปาะเปี๊ยะทอด แต่ก็ไม่ได้กินเพราะกลัวจุก วันนี้เลยวิ่งไม่ครบรอบ รีบกลับมากินข้าว

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม

ตื่นมาตอนเกือบ 11 โมง :P ไม่มีใครอยู่บ้าน มีข้าวต้มกับกับข้าวเจอยู่ที่โต๊ะกินข้าว กินข้าวต้มไป 1 ถ้วยใหญ่... ก็ยังไม่อิ่ม เลยจัดการกวาดข้าวต้มที่เหลือติดก้นหม้อเสียเรียบวุธ (กินล้างกินผลาญจริงๆ เฟ้ย) แม่กลับมาตอนเที่ยงกว่าๆ บอกว่าไปไหว้เจ้ามา เราชักงุ่นง่านไม่มีขนมกิน ยังดีที่แม่ให้พี่นวยปอกสับปะรดมาให้ เรากินไปซะเกือบครึ่งจาน แสบลิ้นไปหมด เฮ้อ...

ตอนบ่ายๆ เผลอหลับไป ตื่นมาอีกที แม่หนีไปข้างนอกกับเพื่อนอีกแล้ว เราเดินไปหาของกินในครัว เจอขนมถ้วยฟู ไม่ชอบกิน เจอเค้กกล้วยหอม ต้องไม่ใช่ของเจแน่ๆ เลย เจอกระยาสารท อันนี้น่าจะเป็นของเจ เลยกินไปซะหลายก้อน (ใช้ลักษณะนามน่าเกลียดเนอะ ต้องเรียกอะไรอ่ะ จะว่าเป็นชิ้นๆ ก็ไม่ใช่ เพราะเราหักมันจากก้อนใหญ่ให้เป็นก้อนเล็กๆ อ่ะ) ตอนหลังแม่มาบอกว่าเค้กกล้วยหอมก็เป็นของเจ แต่เราลองกินแล้วไม่อร่อยเลยหันกลับไปหากระยาสารทอีกรอบ มันอร่อยดีเพราะไม่มีขนมอย่างอื่นกินหนะ

วันจันทร์ 7 ตุลาคม

ตื่นมาตอนหกโมง ฝนตกโครมๆ ตกหนักจนคิดว่าถ้าฝนไม่ซาจะไม่ไปทำงาน ชงกาแฟกินแล้วก็นั่งทำโน่นทำนี่ ไปเรื่อย พอใกล้ๆ เจ็ดโมงครึ่งเห็นว่าฝนชักซาลงแล้ว ก็ยอมเลยไปทำงาน แถวๆ บ้านเราถนนสาธร ถนนจันทน์ น้ำท่วมในซอยกันเยอะ ฟังวิทยุจราจรเขาแนะนำว่า ถ้ายังไม่ออกจากบ้านก็ไม่ต้องออกมาหรอก ลางานไปเลยดีกว่า เพราะรถติดมาก และออกมาก็อาจเจอน้ำท่วม รถตาย ฯลฯ เราโชคดีที่อยู่ติดถนนใหญ่เลยไม่เป็นไร (หรือโชคร้ายหว่า... ถ้าโดนน้ำท่วมก็มีเรื่องให้อ้างไม่ไปทำงานได้) ไปถึงที่ทำงานสายไป 10 นาที แต่มีคนอื่นๆ มาสายกว่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝนตกหรือเปล่า ทำให้วันนี้ไม่มีคนซื้อปาท่องโก๋มาวาง เราเลยกินกาแฟอย่างเดียว

มื้อเที่ยงกินยากิโซบะ เขาผัดมาจานใหญ่พอสมควร จานละตั้ง 25 บาทแหนะ (ปกติอาหารตามสั่งจานละ 20 บาท สงสัยผักแพง เพราะคนกินเจ และเพราะน้ำท่วม สวนผักล่มกันหมด) ทั้งๆ ที่เราค่อนข้างหิวแต่ก็กินไม่หมด เพราะมันเลี่ยนเกินไป กินเสร็จแล้วต้องรีบไปซื้อเป๊บซี่ล้างคอ ตอนบ่ายๆ มีพี่มาถามว่า เป๊บซี่ เป็นเจหรือเปล่า เราบอกว่า เป็นสิ แต่กาแฟ ไม่เป็น คอฟฟี่เมท ก็ไม่เป็น (แต่เราก็กินกาแฟใส่นม กินเจประสาอะไรก็ไม่รู้เนี่ย)

วันนี้ไม่มีคนซื้อขนมมาวาง เราก็เลยงุ่นง่าน เพราะรู้สึกหิว พอโวยวายว่าทำไมไม่มีคนเอาขนมมาวาง ก็แก้ตัวว่าเกรงใจคนกินเจ มีคนได้ยินเราบ่นว่าหิวๆ ก็ถามว่าเรากินเจหรือเปล่า พอเราบอกว่า กิน ดันชวนเรากินขนมปังหมูหยองเฉยเลย ของโปรดเราเสียด้วยสิ เฮ้อ... แบบนี้หละที่เขาเรียกว่า มารผจญ สุดท้ายเราต้องเดินไปขอขนมจากพี่ที่นั่งอีกฟากหนึ่งมากินแก้หิว กินไปแล้วก็ชักรู้สึกว่า ความหิว ตอนช่วงกินเจ น่าจะเป็นเรื่องของ Psychological มากกว่า Physical คือ เราบอกตัวเองว่า ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ เลยหิวง่าย แล้วก็เลยหิวจริงๆ

ตอนเย็นออกจากที่ทำงานตอนทุ่มหนึ่ง ขับรถออกไปก็ยังเสียวๆ ฝนตกน้ำท่วมไม่หาย ปรากฏว่าฝนหยุดสนิทถนนแห้งแก็กราวกับฝนที่ตกโครมๆ เมื่อเช้าเป็นความฝัน เราแวะไปซื้อของกินเซ็นทรัล ตั้งใจจะซื้อขนมเจมาตุนไว้สำหรับพรุ่งนี้ เราซื้อก๋วยเตี๋ยวราดหน้าเจจากฟู้ดเซ็นเตอร์กลับมากินที่บ้าน เป็นราดหน้าที่โ-ค-ต-รแพง ชุดละ 30 บาท มีเส้นกับผักคะน้าอย่างละหยิบมือกับโปรตีนเกษตร 4-5 ชิ้น ขายซัก 15 บาทก็น่าจะกำไรมากแล้ว

การกินเจนอกจากจะได้กุศลจากการละเว้นชีวิตสัตว์แล้ว ยังได้กุศลจากการ “ทำบุญ” ให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายอาหารเจราคามหาโหดด้วย (แต่เราคงไม่ได้กุศลอะไร เพราะเราซื้อแล้วก็ด่าเขาอยู่ในใจว่า ขายแพงอิ๊บอ๋าย)

...จบ Episode I...