Episode II - Mission Impossible...
มาต่อ เจได-อะรี่ ภาคสอง :)

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม

เราซื้อเค้กกล้วยหอมเจไปกินที่ออฟฟิศ 2 ถุง ปรากฏว่าคนอื่นๆ คงรำคาญที่เมื่อวานได้ยินเราบ่นเสียงดังว่าไม่มีขนมกินเลย ก็เลยซื้อขนมอื่นๆ มาด้วย ทั้งขนมเจขนมไม่เจวางเต็มหลังตู้เก็บเอกสาร ตอนช่วงเช้าๆ ก็มีคนบ่นว่าขนมเยอะเกินไป เค้กกล้วยหอมของเราไม่ค่อยมีคนสนใจ เห็นบอกว่ามันเหนียวเกินไป กินแล้วติดคอ แต่พอตกบ่ายขนมที่ว่าเยอะ เค้กกล้วยหอมที่เหนียวเกิน ก็หมดเรียบ

มื้อกลางวันเรากินเส้นหมี่ราดหน้าราคา 20 บาทที่ดูน่ากินและมีเนื้อมีหนังกว่า ราดหน้าโ-ค-ต-รแพงที่เราซื้อจากเซ็นทรัลเมื่อวาน ตอนเย็นเราต้องกินมาม่าต้มยำเจ เพราะออกจากที่ทำงานช้าเลยไม่มีเวลาแวะซื้อของกิน รีบซิ่งกลับมาดูทีวีเรื่องอพอลโล ว่าตกลงสหรัฐได้ส่งนักบินอวกาศไปเหยียบบนดวงจันทร์จริงๆ หรือเปล่า ยูบีซีเขาโฆษณาเรื่องนี้ใหญ่โตมาพักใหญ่ๆ แล้ว ทั้งโฆษณาทางทีวีช่องธรรมดา ทั้งติดป้ายบนทางด่วน ที่เด็ดสุดคือเอาคนแต่งชุดนักบินอวกาศมาเดินด้วยท่าสโลว์โมชั่นแบบเดียวกับการเดินในสภาพไร้น้ำหนักที่แยกไฟแดงแถวเซ็นทรัลลาดพร้าว วันนั้นเราขับรถไปติดไฟแดงพอดี หันไปเห็นแล้วก็รู้สึกว่าเฮฮาดี

หลังจากได้ดูแล้ว รู้สึกว่าหลักฐานที่บอกว่าเป็นเรื่องการไปเหยีบดวงจันทร์เป็นการลวงโลกฟังดูน่าเชื่อถือมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมุมกล้องและแสงในการถ่ายภาพนิ่ง ภาพวิดีโอ หรือเรื่องทางเทคนิคอย่างการเดินทางผ่านวงแหวนรังสี เรื่องอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ของนักบินอวกาศ ทุกอย่างดูไม่สมจริงสมจังไปหมด แต่คิดไปคิดมาก็ยังลังเลใจ เพราะถ้าสหรัฐจะโกหกคนทั้งโลกจริง มันก็เป็นแผนการใหญ่ที่ใช้จ่ายเงินไปเป็นหมื่นล้าน มีคนร่วมงานเยอะแยะ ก็ไม่น่าจะพลาดมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบที่เขามาจับผิดกันให้เห็น นอกจากนี้ก็มีคนบอกเราว่า ทีมงานที่ถ่ายทำวิดีโอชุดนี้ ก็เป็นทีมงานกลุ่มเดียวกับพวกที่ทำวิดีโอเรื่องการผ่าตัดศพเอเลี่ยนมนุษย์ต่างดาว ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องโกหกมากกว่าจริง พอฟังแบบนี้ความน่าเชื่อถือก็ลดลงไปนิดหนึ่ง

สรุปว่า เราเป็นพวกเชื่อคนง่าย ตอนแรกที่เขาบอกว่า นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ เราก็เชื่อ ตอนนี้เขามาบอกว่า ไม่ได้เหยียบจริง เราก็เชื่ออีก เอาเป็นว่าคงต้องรออีก 2 ปี ญี่ปุ่นจะส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ คงได้ถ่ายภาพให้เราได้ดูกันว่าจะยังมียานลูนาร์ มีธงสหรัฐ มีรอยเท้าของนีล อาร์มสตรองอยู่บนดวงจันทร์หรือเปล่า

ดูอพอลโลไปกินมาม่าไป หมดแล้วก็ยังรู้สึกไม่ค่อยอิ่ม เลยกินไอติมกะทิกับแอ็ปเปิ้ลเขียวอีก 2 ลูก กินเสร็จแล้วก็รู้สึกว่า อิ่มเกินไป ไม่น่าเลยเรา...

วันพุธที่ 9 ตุลาคม

ตอนเช้าก็รู้สึกไม่ค่อยอยากจะลุกจากเตียง ตอนเดินไปที่จอดรถก็รู้สึกว่ามีกลิ่นไอแปลกๆ ในอากาศ กลิ่นลมหนาวนั่นเอง ฟังวิทยุก็ได้ยินว่าอากาศทางเหนือเริ่มเย็นลงแล้ว หวังว่าฝนจะหมดเสียที เพราะถ้าตกลงมาอีก จะกลายเป็นทั้งน้ำท่วมทั้งหนาว คงลำบากกันน่าดู เราสูดหายใจกลิ่นลมหนาวไป ฟืดๆ สดชื่นดีแฮะ เอ๊ะ.. มีกลิ่นอื่นด้วย กลิ่นพะโล้แฮะ มาจากไหนฟะเนี่ย (บอกแล้วว่ากินเจแล้วมันหิวง่าย)

ไปถึงที่ออฟฟิศมีคนซื้อปาท่องโก๋มา ค่อยยังชั่วหน่อย กินไปก็ตั้งวงวิจารณ์เรื่องอพอลโลกันไป ทุกคนก็ดูจะคิดอย่างเดียวกับเรา คือ คิดว่าสหรัฐโกหกคนทั้งโลก พอถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเหลือรอดชีวิตมายืนยันได้ว่า เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก คุยกันไปคุยกันมาถึง Conspiracy Theory แล้วก็เลยไปถึงว่า ตกลงที่จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ตายก็อาจจะเป็นเพราะรู้เรื่องแผนลวงโลกอันนี้ก็เลยโดนเก็บไปด้วย คิดกันไปปานนั้น

ตอนกลางวันกินข้าวกับแกงคั่วผักบุ้งกับผัดผัก วันนี้ตลาดไม่ค่อยคึกคัก (คือไม่ค่อยมีคนซื้อขนมมาวางหลังที่ตู้เก็บเอกสาร) เราก็เลยซื้อกล้วยทอดกับไข่นกกระทาขึ้นไปกิน ตอนบ่ายพี่อีกคนหนึ่งแบ่งขนมเปียกปูนมาให้เราด้วย คงทั้งสงสารและรำคาญ กลัวเราไปบ่นให้ฟังว่าหิวอีก

ตอนเย็นเรารีบแล่นกลับบ้าน เพราะรู้สึกอาการไม่ค่อยดี ครั่นเนื้อครั่นตัว เพราะแอร์ในออฟฟิศเย็นสุดๆ ทำให้เชื่อว่าหน้าหนาวกำลังมาแล้ว เราออกจากออฟฟิศห้าโมงกว่า ขับรถบนทางด่วนยังเห็นแสงแดดอยู่หน่อยๆ มองฟ้าแล้วก็เป็นสีแบบหน้าหนาว คือมันจะมีบรรยากาศนิ่งๆ เย็นๆ บอกไม่ถูก ก่อนเข้าบ้านแวะเซ็นทรัล ตอนแรกก็คิดๆ ว่าจะไปดู Bourne Identity แต่เวลาไม่ดีก็เลยไม่ได้ดู ซื้อถั่วงอกกับมากินกับมาม่าต้มยำเจที่ซื้อไว้วันก่อน (ช่วยเพิ่มวิตามินและไฟเบอร์)

วันพฤหัสที่ 10 ตุลาคม

วันนี้ขับรถไปทำงาน เห็นเขาติดป้ายว่าเทสโกโลตัสที่อยู่ตรงข้ามโรงเรียนหอวังเปิดแล้ว คงทำให้เราลำบากเวลากลับบ้านพอสมควร เพราะรถคงติดมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะเรามันก็สะดวกกับเราเหมือนกันถ้าอยากจะซื้อของ ก็เราสามารถแวะเข้าไปได้ โดยไม่ต้องขับรถอ้อมไปไกลเหมือนเวลาจะไปเซ็นทรัลหรือโลตัสสาขาอื่น เป็นทางผ่านตอนจะกลับบ้าน

ไปถึงที่ทำงาน ได้อีเมล์มาจากหัวหน้าบอกว่า วันจันทร์หน้า จะมีเลี้ยงอาหารกลางวันที่ฟูจิ เป็นการเลี้ยงส่งพี่ที่ทำงานจัดซื้อ เขาลาออกเพราะจะไปอยู่กับสามีที่อเมริกา พอเห็นปุ๊บเราก็นับเลย เอ... ท่าทางจะไปกินกับเขาไม่ได้เพราะยังไม่ออกเจ พี่ที่นั่งบูธติดกับเราเดือดร้อนกว่า บอกว่าไม่อยากพลาด เขาถามกับเราว่าตกลงเลิกกินเจวันไหน เราก็ชักไม่แน่ใจ เลยต้อง "ขอใช้ตัวช่วย" ขอถามคุณแม่ :) โทรไปถาม แม่บอกว่า ต้องกินเจไปถึงวันอังคารเช้า (เป็นคำตอบสุดท้าย) พี่เขาก็เลยไปล็อบบี้หัวหน้าและพี่คนที่จะลาออกว่า ให้ไปกินวันอังคารแทน สรุปว่าสำเร็จ ตอนนี้ เราก็เลยมีแผนกำหนดไว้ล่วงหน้าว่า ออกเจแล้วก็จะได้ไปกินฟูจิฉลองหละ

ตอนกลางวันไปกินข้าว ร้านที่กินประจำที่เคยคนแน่นๆ ก็ดูโล่ง พอกินเสร็จแล้วขึ้นมาคุยๆ กันก็เลยรู้ว่า หลายๆ คนเขาเดินไปโลตัสกัน ที่เขาบอกว่าเปิดพรุ่งนี้ ความจริงเขาเปิดแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว (Pre-opening??) แต่เปิดไม่เต็มเวลา คนก็เลยไปฉลองของใหม่กัน บางร้านมีโปรโมชั่น เช่น ซื้อโดนัท 4 ชิ้นแถม 4 ชิ้น กาแฟมอคคาปั่น ซื้อ 1 แถม 1 เราก็ได้แต่ฟังๆ แบบว่ายังกินเจอยู่อะนะ กินโดนัท กินมอคค่าปั่นไม่ได้

ตอนแรกตั้งใจว่าวันนี้จะกลับบ้านเร็ว แต่ทำไปทำมา กว่าจะได้ออกจากออฟฟิศก็ทุ่มหนึ่งแล้ว นึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี สุดท้ายก็เลยเลี้ยวรถเขาไปในโลตัส ไปฉลองของใหม่กับเขาด้วย (เขายังทำไม่ค่อยเรียบร้อยหรอกนะ ยังมีการก่อสร้างอยู่ คาดว่าคืนนี้ก็คงมีคนงานทำงานไปจนถึงก่อนที่ห้างจะเปิดอย่างเป็นทางการพรุ่งนี้เช้า) เราซื้อยากิโซบะจากฟู้ดเซ็นเตอร์ แค่ 20 บาทเอง ต่อไปนี้ห้างเซ็นทรัลจะต้องสำนึกว่าเขาจะขายของแพงๆ อยู่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะผู้บริโภคเริ่มมีทางเลือก ความจริงเราก็อยากแอนตี้ต่างร้านชาติ ช่วยสนับสนุนซื้อของจากห้างไทยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พอเห็นแบบนี้แล้วเรารู้สึกเหมือนห้างไทยเอาเปรียบคนไทย เริ่มมีใจออกห่าง อยากไปสนับสนุนต่างชาติเสียแล้ว