LASIK - Part I
วันนี้มาเล่าเรื่องทำเลสิกดีกว่า… เราทำเลสิกมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว (ตั้งแต่ปี 42) สาเหตุที่ทำก็เพราะเบื่อใส่คอนแท็คเลนส์ เก๋พี่สาวทำไปก่อนหน้านั้นแล้วบอกว่าดีก็เลยชวนให้เราทำมั่ง ตอนนั้นเราสายตาสั้นแค่ 275 เอง แต่ว่าต้องใส่คอนแท็คเลนส์หรือแว่นตาตลอดเวลา

สายตาเราเริ่มสั้นตอนโตแล้ว ประมาณตอนมหาวิทยาลัยปี 4 จำได้ว่าไม่ค่อยอยากเดินขึ้นไปบนโรงอาหารคนเดียว เพราะมองคนไม่ค่อยเห็น กลัวเวลามีคนทักแล้วทำไม่สนใจ หรือเขาทักคนอื่นแต่เราดันไปรับสมอ้าง ประมาณว่ากลัวเสียฟอร์ม ต่อมาไม่นานก็เลยไปตัดแว่นมาใส่ แต่ก็ไม่ค่อยชอบ เพราะมันกดตรงดั้งจมูกกับตรงขมับ แล้วก็เลยใส่ได้ไม่ตลอด ใส่ๆ ถอดๆ ทำให้แว่นพังเร็วมาก เพราะเราชอบลืมวางไม่เป็นที่ บางทีก็นั่งทับ บางทีก็นอนทับ ก็เลยเปลี่ยนไปใส่คอนแท็คเลนส์ แรกๆ ก็ทุลักทุเลพอควร (เพราะตาตี่ -_-‘) เวลาจะไปไหนมาไหนที ลำบากมากๆ เพราะต้องหอบน้ำยาทำความสะอาดเลนส์เป็นขวดๆ ตอนไม่ไปไหนก็ลำบาก เพราะเวลาใส่เลนส์นานๆ ซักสิบชั่วโมงขึ้นไป ตาก็จะแห้งมากๆ แห้งขนาดที่บางครั้งกระพริบตาแล้วเลนส์หลุดออกมาจากตา (เราใส่เลนส์แบบซอฟท์) ก็เลยยังทิ้งแว่นไม่ได้ กลางวันออกไปข้างนอกก็ใส่เลนส์ กลับเข้ามาบ้านตอนกลางคืนก็เปลี่ยนเป็นใส่แว่น

เราใส่เลนส์+แว่นอยู่เกือบหกปี (โห... เพิ่งได้นับตอนนี้เอง... นานเหมือนกันแฮะ) ก็พอดีเป็นช่วงที่เราไปถูกส่งไปทำงานที่แคนซัส อยู่ๆ เก๋ก็ให้เราหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเลสิกให้ ว่ามันดีไม่ดียังไง ราคาแพงแค่ไหน เพราะตอนนั้นราคาแพงมากๆ ประมาณ 6-7 หมื่น (ตอนนี้ก็ยังแพงอยู่ แต่มีหลายราคาให้เลือกมากขึ้น ตอนที่เก๋ทำรู้สึกจะมีอยู่เจ้าเดียวที่ทำแบบเลสิกจริงๆ และไม่มีการลดราคาแบบเดี๋ยวนี้) เรายังไม่ทันได้หาข้อมูลอะไรมาก ก็พอดีมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ซึ่งปกติเขาไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศ เพราะเป็นคนที่ต้องไปตรวจงานตามไซต์ต่างๆ ทั่วอเมริกาและทั่วโลก เขาเข้ามาทำงานแล้วก็ยิ้มหน้าตาแฮ็ปปี้มากๆ บอกกับเราว่า “Look!! No glasses!!” เราก็เลยนึกได้ เออ... เขาเคยใส่แว่นนี่เนอะ

เขาบอกว่าเขาไปทำเลสิกมา... โอ้โห... จังหวะเหมาะเหม็ง กำลังอยากรู้อยู่พอดี ก็เลยซักถามรายละเอียดจากเขาเอาไว้เป็นข้อมูล เขาเล่าว่าก่อนจะตัดสินใจทำเขาก็หาข้อมูลอยู่พอสมควร พบว่า 99.99% ของคนไข้พอใจกับผลจากการผ่าตัด และยังไม่มีใครตาบอดเพราะทำเลสิก หมอที่ผ่าตัดให้เพื่อนร่วมงานเราเคยทำมาแล้วหลายพันตา และก็มีสถิติของคนไข้ที่พอใจในระดับเดียวกัน หมอให้รายชื่อคนไข้ที่ทำไปแล้วมาด้วย ประมาณว่าให้โทรไปสอบถามได้

เขาบอกว่าหมอจะอธิบายรายละเอียดให้ฟังเยอะ ว่าจะมีขั้นตอนการทำอย่างไร มีความเสี่ยงอย่างไร ก่อนที่จะทำการผ่าตัดจริง (และหมอที่ดีควรจะต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่หมกเม็ดไม่ยอมให้ข้อมูล) พอเราตัดสินใจว่าจะทำจริงๆ หมอจะต้องตรวจตาเราอย่างละเอียดก่อนว่าทำได้หรือไม่ได้ ถ้าตรวจแล้วพบว่ามีโอกาสที่ทำออกมาแล้วจะไม่สำเร็จ หมอจะไม่รับทำให้ เพราะเขาก็อยากจะรักษาสถิติความพอใจของคนไข้ด้วยเหมือนกัน (เขาแนะนำว่า ถ้าหมอบอกว่า ทำไม่ได้หรือไม่ควรทำ ก็อย่าไปเซ้าซี้หมอ เพราะนั่นหมายถึงว่ามันมีเหตุผลที่มันทำไม่ได้หรือทำแล้วจะได้ผลไม่ดี ไม่งั้นจะต้องมาด่าหมอกันทีหลัง)

ความจริงสายตาของเพื่อนร่วมงานเราสั้นมาก คือ สั้นตั้ง 2,000 แหนะ หมอยอมรับทำให้ เพราะสุขภาพตาดีพอ แต่ไม่รับประกันผล คือ เขาจะรับประกันผลเฉพาะสายตาไม่เกิน +/-10 (หรือ สั้น-ยาวไม่เกิน 1,000 - ตามสเกลที่คนไทยวัดกัน) ซึ่งเป็นระยะที่การผ่าตัดจะมีประสิทธิภาพดีมาก ถ้าสายตาสั้นหรือยาวเกินกว่านี้ก็ทำได้ แต่ผลอาจจะไม่ได้ 100% อาจจะไม่ได้สายตา 20/20 (หรือ 0 ตามระบบที่คนไทยเรียกกัน) แต่เพื่อนร่วมงานเขาก็ตกลงจะทำ และยอมรับความเสี่ยง เพราะไม่อยากใส่แว่น

พอทำเสร็จเขารู้สึกพอใจมากๆ เขาบอกว่าตอนนี้เขามองเห็นไปไกลมากๆ (หมายถึงตอนที่เล่าอ่ะนะ เรายืนคุยกันตรงริมหน้าต่าง เขาบอกว่าเขาเห็นไปถึงโน่น ชี้ไปที่ป้ายโฆษณาอันหนึ่งซึ่งอยู่โ-ค-ต-รไกล) เพราะหมอจะต้องทำให้สายตาเขายาวกว่าปกติ คือ ทำเผื่อไว้ในช่วงแรกๆ เพื่อที่ว่าเมื่อสายตาเข้าที่แล้ว ก็จะเป็นสายตา 20/20 เราบอกว่าพี่สาวเราอยากทำเหมือนกัน แต่ที่เมืองไทยแพงเชียว แต่พอเราบอกราคาเขาไป เขาบอกว่า โฮ้ย... ถูกมากแล้ว ที่อเมริกาแพงกว่าเยอะ (ประมาณ 2-3 เท่า จำราคาไม่ได้แน่) แล้วเขาก็แนะนำว่า เวลาจะทำให้เลือกทำกับหมอที่เคยทำมาแล้วเยอะๆ เพราะว่าจะมีความเชี่ยวชาญกว่ามาก หลังจากคุยกันมาพักใหญ่ เราก็ให้เขาสรุปว่า ตกลงทำแล้วดีไหม จะแนะนำให้คนอื่นทำบ้างไหม เขาบอกว่า ดีมากๆ ถ้าหมอบอกว่าทำได้ ก็น่าทำ

หลังจากเราเล่าให้เก๋ฟังว่าเพื่อนร่วมงานว่าไง เก๋ก็ตัดสินใจทันทีว่าจะไปทำมั่ง ก็ไปทำกับหมอที่เป็นคนแรกๆ ที่ทำเลสิกในเมืองไทย (แต่ตอนนั้นเขาก็ทำไปหลายพันตาแล้วเหมือนกัน เก๋ก็เลยรู้สึกว่า น่าจะโอเค) ค่าใช้จ่ายถ้าจำไม่ผิดค่าตรวจ 1,000 บาท ค่าผ่าตัดตาละสามหมื่นห้า ทำสองตาพร้อมกันหกหมื่นห้า (ลองพยายามคูณว่า สามหมื่นห้าคูณพันตา โอย... เครื่องคิดเลขพัง ทำไมเราไม่เรียนหมอตามั่งฟะ) หลังจากคุยกับหมอแล้ว เขาบอกว่าน่าจะทำสองตาพร้อมกัน เพราะหมอจะได้ไม่เสียเวลามาก เอ้ย... ไม่ใช่ เพราะว่า สายตาจะปรับได้เร็วกว่า เพราะปกติถ้าตาหนึ่งดีกว่าอีกตาหนึ่ง สมองมันจะพยายามปรับภาพให้สมดุลกัน สายตาก็ด้านที่ไม่ดีจะดึงด้านที่ดีให้แย่ลง แต่ถ้าทำพร้อมๆ กันสองตา สายตาจะเท่ากันและปรับไปพร้อมกัน เก๋ก็ตัดสินใจทำพร้อมกันสองตาเลย พอทำเสร็จก็บอกว่าดีมาก “เหมือนได้ตาใหม่” ตอนหลังเก๋แนะนำให้เพื่อนไปทำอีก 2 คน เพื่อนเก๋ก็บอกว่าดีเหมือนกัน

หลังจากที่เก๋ทำเลสิกได้ประมาณ 5-6 เดือน เราจะกลับมาเยี่ยมบ้านพอดี (ช่วงสงกรานต์ปี 42) ก็เลยจะทำเลสิกบ้าง เก๋เป็นคนนัดหมอให้ ฉุกละหุกพอสมควร เพราะต้องงดใส่คอนแทคเลนส์ 3 วันก่อนไปตรวจ เขาตรวจสายตาเราอย่างละเอียด และตรวจลูกกะตาเราโดยใช้กล้องส่อง วัดความโค้งกระจกตา วัดความหนากระจกตา ฯลฯ จนสรุปได้ว่าทำได้ เขาก็นัดวันให้เรามาผ่าตัด จากประสบการณ์ของเก๋บอกว่าหลังจากผ่าตัดแล้ว จะแสบตามากๆ เวลามีแสงสว่างจากข้างนอก (ทั้งๆ นอนที่หลับตา) เลยให้เราเลือกทำช่วงเย็น ทำเสร็จจะได้กลับบ้านนอนเลย ก่อนไปทำเขาต้องให้เราไปตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อน แล้วเอาผลมาให้เขา (ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องตรวจ ตอนหลังมีคนมาบอกว่า เพราะเอดส์ติดต่อทางของเหลวต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งน้ำตาและของเหลวในตา เครื่องมือเขาแพงมากๆ ไม่อยากให้มีเชื้อเอดส์ไปติด เราก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่า ถ้าเครื่องมือไม่แพงจะยอมให้เชื้อเอดส์ไปติดได้หรือไง)

อืมม์ ชักยาวอ่ะ เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้มาต่อวันที่ไปผ่าตัดจริงๆ ละกันนะ