LOTR - First Movie of 2003
วันที่ 1 มกราคม เราไปดู Lord of the Rings มา เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศก็เลยไปเอาไทม์เล่มเก่าที่เป็นหน้าปก LOTR ไปด้วย ตั้งใจจะไปอ่านที่หน้าโรง ปกติเราไม่ค่อยชอบอ่านอะไรๆ เกี่ยวกับหนังก่อนเข้าไปดู เพราะเราไม่อยากมีความคาดหวัง รับรู้ความคิดเห็น หรือพล็อตเรื่องก่อนเข้าไปดู แต่ในกรณี LOTR คิดว่าเรื่องมันคงซับซ้อนและดำเนินเรื่องเร็ว รู้พล็อตไปก่อนก็น่าจะช่วยให้หายโง่ได้บ้าง แต่พอดีเราไปถึงโรงหนังก่อนหนังฉายแป๊บเดียวก็เลยไม่มีเวลาอ่าน

เออ.. ก่อนอื่นขอบ่นหน่อยว่า ไม่เข้าใจเลยว่าพอหนังเรื่องไหนยาวๆ หน่อย โรงหนังก็มักจะถือโอกาสขึ้นค่าตั๋ว ทีเวลาหนังเรื่องไหนสั้นๆ ไม่เห็นยอมลดค่าตั๋วให้เราเลย มันน่าประท้วงไม่ดูหนังในโรงซะจริงๆ :( (อืมม์ พูดไปงั้นแหละ ทำไม่ได้หรอก เพราะการดูหนังมันเข้าไปอยู่ในกิจกรรมหลักของชีวิตไปแล้ว...)

บ่นจบแล้วมาเรื่องหนังต่อ... ก่อนเข้าโรงหนังเราก็เตรียมเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย เพราะหมูบอกว่า หนังยาว 3 ชั่วโมงครึ่ง เรากลัวจะปวดฉี่ระหว่างดู (ภาคที่แล้วเพื่อนเราดูแล้วไปเข้าห้องน้ำ กลับมาหนังจบไปแล้วก็งงปนอึ้ง เพราะตอนจะไปหนังไม่ได้มีทีท่าว่าจะจบ แต่มันดันจบเอาดื้อๆ แบบนั้น) พอเข้าห้องน้ำเสร็จก็เข้าไปในโรง ปรากฏว่าหนังยังไม่เริ่มฉาย ได้ดูหนังตัวอย่างกับโฆษณาอยู่อีกตั้งพักใหญ่ เราก็โมโหตัวเองว่าน่าจะรออีกซักพักหนึ่งค่อยไปเข้าห้องน้ำและเข้ามาในโรง ประมาณว่ากลัวมากกว่าจะปวดฉี่ระหว่างดู ... :P

LOTR ภาคนี้สนุกจัง แต่เริ่มขึ้นมาแบบไม่เกริ่นเรื่องให้เสียเวล่ำเวลา ดูแล้วรู้สึกเหมือนพอจบภาคที่แล้ว เดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลับมาดูภาค 2 ต่อยังไงยังงั้น ในหนังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้อนกันหลายๆ หลายเหตุการณ์ ตัดไปตัดมาระหว่างโฟรโดกับแซม เมอรี่กับพิปพิน อารากอน-เลโกลัส-กิมลี เขาดำเนินเรื่องเร็วแต่ไม่สับสน เราว่าถ้าเราอ่านหนังสือคงงงชิบเป๋งเลย ภาคนี้มีตัวละครใหม่ๆ ที่เป็นสีสันอย่าง กอลลัมกับเอ็นท์ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิค (ตัวกอลลัมใช้คนแสดงแต่เอาคอมพิวเตอร์กราฟฟิคมา “ครอบทับ” ลงไป) เราว่าเขาทำกอลลัมได้ดี แต่เอ็นท์นี่ดูทื่อๆ ยังไงไม่รู้ แต่บางทีอาจจะเป็นความตั้งใจของเขา เพราะเอ็นท์เป็นต้นไม้ที่เคลื่อนที่ได้

ในความเป็นหนัง เราว่าภาคนี้สนุกกว่าภาคแรก เนื้อหาเข้มข้น มีฉากสู้รบฉากไล่ตามมันส์สะใจ มีความสัมพันธ์โรแมนติกๆ ระหว่างอารากอนกับอาร์เวนที่มีเอโอเมียเข้ามาแทรก มีมุขขำบลัฟกันไปมาระหว่างเอล์ฟเลโกลัสกับคนแคระกิมลี ขนาดแกนดาล์ฟขรึมๆ ยังมีมุขได้เลย (ไม่รู้ว่าเราเส้นตื้นไปหรือเปล่า แต่เราว่าตอนที่ “แกนดาล์ฟเดอะไวท์” กระตุกผ้าคลุม มันจี้ดี ออกแนวข่มๆ อวดๆ แบบให้มันรู้เสียมั่งว่า นี่แกนดาล์ฟเดอะไวท์นะเฟ้ย :P)

พอดูหนังเสร็จเราก็มานั่งอ่านเรื่อง LOTR ในไทม์ต่อ เขาก็พูดเรื่องที่ภาคนี้ขึ้นต้นมาแบบไม่เกริ่นหรือย้อนเรื่องของภาคแรกเหมือนกัน เขาบอกว่า ตอนแรกทาง New Line ต้นสังกัดบอกจะให้มีการย้อนเรื่องภาคที่แล้วก่อนเล็กน้อย แต่ผู้กำกับแกไม่ยอม แกบอกว่าแกตั้งใจจะทำหนังเรื่องเดียวยาว 9 ชั่วโมงที่แบ่งฉายเป็น 3 ภาค ไม่ใช่ทำหนัง 3 เรื่องเป็นภาคต่อกัน และแกเชื่อว่าจำนวนคนที่ไม่ได้ดูภาคแรกแล้วจะเข้าไปดูภาคสองคงมีน้อยมากๆ จึงไม่จำเป็นต้องเกริ่นกันให้เยิ่นเย้อ (ซึ่งเราคิดว่าน่าจะจริง อันนี้วัดเอาจากตอนที่หนังจบ – แบบดื้อๆ เหมือนภาคแรก – คนดูก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเล ไม่มีการพึมพำบ่นว่า ตกลงจบตรงนี้เหรอ? จบค้างไว้แบบนี้ได้ยังไง? ทุกคนเดินออกจากโรงโดยดุษณี คนดูไม่งงหรือประหลาดใจ เพราะตอนดูภาคแรกประหลาดใจไปแล้ว) ตอนหลัง New Line ก็เลยยอมตามไอเดียของผู้กำกับ แถมตาผู้กำกับแกยังบอกอีกว่า ถ้าคนไหนที่ไม่ได้ดูภาคแรกและไม่คิดจะเสียเงินอีกไม่กี่ตังค์เพื่อเช่าวีดีโอมาดูก่อนจะเข้าไปดูภาคสอง ก็อย่าไปดูภาคสองเลยเสียเวลาเปล่าๆ.... แน่ะ ดูพูดเข้า ไม่กลัวจะไม่มีคนดูหนังตัวเองเสียด้วย

ในไทม์เขายังบอกอีกว่าภาคที่สองนี้ (ต้องเรียกว่า ตอนที่สอง ถึงจะตรงกับความตั้งใจของผู้กำกับมากกว่าเนอะ) เป็นตอนที่ทำออกมาห่างจากหนังสือต้นฉบับมากที่สุด เพราะเรื่องที่เอามาเน้นอย่างการสู้รบที่เฮล์มสดีพก็เป็นแค่ฉากสั้นๆ ในหนังสือ หรืออย่างความสัมพันธ์ระหว่างอารากอนกับอาร์เวนก็เป็นการขยายขึ้นมาเอง โดยไปเอาเค้ามาจากบทความที่ JRR เขียนไว้ท้ายเรื่อง แต่เราว่าหนังดูสนุกแบบนี้ จะต่างจากต้นฉบับไปบ้างเราก็ไม่ว่าอะไรหรอก และถึงต่างไปมากเราก็ไม่รู้หรอก เพราะเราไม่ได้อ่านหนังสืออ่ะนะ

สรุปว่า LOTR ตอนนี้สนุกมากๆ (และยาวมากๆ เหมือนเคย) ถึงจ่ายค่าตั๋วแพงกว่าปกติก็ยังถือว่าคุ้ม (แต่ถ้าโรงหนังไม่โกง ยอมขายตั๋วในราคาปกติ จะยิ่งรู้สึกว่าคุ้มมากกว่านี้... ) คราวนี้ก็ถึงเวลาต้องนับถอยหลังรอตอนสุดท้ายออกฉายปลายปีนี้ (ซึ่งเราก็คงได้ดูต้นปีหน้า) รอดูด้วยใจระทึกโดยพลัน... เฮ้อ...