Stunning and Sick
ว่าจะเล่าเรื่องงานต่อ ก็มีอันให้มีเรื่องอื่นมาคั่นอีกแล้ว คนที่ติดตามด้วยความระทึกในดวงหฤทัยก็รอหน่อยนะ ไหนๆ ก็เอาไปเปรียบกับ LOTR แล้ว ที LOTR เขายังให้รอกันเป็นปีๆ นี่เราแค่มีเรื่องอื่นๆ มาสลับแค่ตอนสองตอนเอง แต่สำหรับคนที่เบื่อเรื่องงาน ขี้เกียจอ่านเพราะเห็นว่าไร้สาระและยาวเรือหาย (หรือรู้เรื่องแล้วจากที่เราเล่าปากเปล่าในต่างกรรมต่างวาระ) ก็มาอ่านเรื่องอื่นก่อน อาจจะน่าเบื่อพอกันแต่ช่วยไม่ได้

เรารู้สึกว่า สมัยนี้คนมักจะป่วยเป็นโรคแปลกๆ กัน ไม่รู้คนอื่นว่าไง แต่เราว่ามันเกิดจากสองสาเหตุหลักๆ คือ อันแรก ชีวิตของมนุษย์เรามันถูกดัดแปลงจนผิดธรรมชาติมากไป (ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษมากขึ้น อาหารการกินที่ดัดแปลงตกแต่งจากสิ่งสังเคราะห์ วิธีการดำรงชีวิตที่ไม่สมดุล เช่น นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือทีวีนานๆ ฯลฯ) ทำให้ร่างกายเราทำงานผิดปกติไป อีกอันหนึ่งคือ สมัยนี้เรารู้มากขึ้น (หมายถึงมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นอ่ะนะ ไม่ได้หมายถึงรู้มาก ชอบเอาเปรียบหรือโกงคนอื่น) ทำให้เราวิเคราะห์การเจ็บป่วยของคนออกมาเป็นโรคๆ ได้มากขึ้น เมื่อก่อนคนไม่ค่อยเป็นโรคประหลาดๆ เพราะส่วนมากตายซะก่อนที่จะได้วิเคราะห์ว่าเป็นโรคอะไร

โรคแปลกๆ ที่เราเพิ่งได้ยินตอนหลังๆ นี้ก็อย่าง “โรคน้ำในหูไม่สมดุล” คนที่เป็นจะเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน สมัยก่อนก็คงคิดว่า เวียนหัวธรรมดา หรืออย่างลูกพี่ลูกน้องเราเป็น “โรคเชื้อไวรัสไปเกาะที่ปลายเส้นประสาทในสมอง” (หรืออะไรทำนองนั้น ชื่อยาวขนาดนี้ เราจำได้แค่นี้ก็นับว่าเก่งแล้ว) อยู่ๆ เขาก็ปากเบี้ยวขึ้นมาเฉยๆ ลิ้นแข็ง แล้วก็หุบปากได้ไม่สนิท ประมาณว่ากล้ามเนื้อรอบๆ ปากและลิ้นไม่ทำงาน ยังมีโรคอื่นๆ อีกแต่ความที่มันแปลกเสียจนจำไม่ได้ ก็เลยไม่ได้ยกตัวอย่างอื่นๆ ให้ฟังอีก

วันนี้เราไปหาหมอเพราะรู้สึกว่าเจ็บคอเหมือนคอจะอักเสบอีกแล้ว ความจริงเจ็บมาหลายวันแล้ว แต่วันนี้มันรุนแรงมาก ประมาณว่างอมเต็มที่แล้ว แถมมีแผลร้อนในที่ลิ้นอีก 2-3 แผล ปกติเราจะไปหาหมอที่คลีนิกแต่วันนี้ไปโรงพยาบาล เพราะกลัวว่าคลีนิกจะปิดไปแล้ว (เราออกจากที่ทำงานก็ทุ่มกว่าแล้ว) และไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็สะดวกดี ไม่ต้องเอาใบเสร็จมาเบิก บริษัทเราเขาทำประกันสุขภาพแบบที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ถ้าไปที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ และไม่เกินวงเงินค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลเขาจะไปเก็บเงินกับบริษัทประกันเอง

เรานั่งรอหมออยู่ประมาณ 20 นาทีก็ได้เข้าไปตรวจกับหมอหูคอจมูก (ที่นั่งรออยู่นานเพราะเขาค้นหาประวัติของเราไม่เจอ เพราะหลังๆ นี้เราไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลนี้) หมอให้เราอ้าปาก แล้วก็เอาไฟฉายมาส่องเข้าไปในคอเรา มองปุ๊บก็บอกว่า “ทอนซิลอักเสบนะ มีเสลดสีเหลืองหรือสีขาว” เราบอกว่า “ไม่ค่อยมีเสลด” หมอก็เปลี่ยนเป็นมาส่องรูจมูกเราแทน แล้วบอกว่า “ต้องผ่าตัดจมูกนะ เนี่ยผนังกั้นโพรงจมูกเบี้ยวไป ทำให้รูจมูกตันไปข้างหนึ่ง หายใจได้ข้างเดียว” ว่าแล้วก็เอามืออุดรูจมูกข้างที่เขาว่าไม่ตัน “เอ้า... หายใจซิ” เราก็หายใจออก “เห็นไหมมันตัน” แล้วก็สลับมาอุดรูจมูกอีกข้างหนึ่ง “เอ้า ลองหายใจใหม่ซิ ข้างนี้ไม่ตัน” ว่าแล้วก็เล็คเชอร์ต่อ

“ปกติจมูกเราต้องหายใจได้สองข้าง ถ้าผนังกั้นโพรงจมูกเบี้ยว มันจะไปบังโพรงจมูกข้างหนึ่ง ทำให้ข้างนั้นหายใจไม่สะดวก จะทำให้ทอนซิลข้างนั้นอักเสบง่าย เป็นหวัดง่าย เจ็บคอบ่อย ปวดหัวข้างเดียว บางทีก็อาจจะทำให้เป็นไซนัสด้วย เพราะน้ำมูกมันจะไปสะสมอยู่ในโพรงจมูกออกมาไม่ได้ ที่เป็นนี้มันไม่ได้เพิ่งเป็นนะ มันเป็นมานานแล้ว ถ้าจะให้หายก็ต้องผ่าตัดนะ ไม่ใช่ผ่าตัดใหญ่หรอก แค่ผ่าตัดเล็กผ่าข้างในโพรงจมูกไม่มีแผลเป็นอะไร ถ้าจะผ่าตัดก็ไปเคลียร์งานมา ต้องนอนพักที่โรงพยาบาล 2 วัน ตอนนี้รักษาตามอาการไปก่อน เดี๋ยวอีกอาทิตย์หนึ่งหมอนัดดูอาการอีกที”

เราก็ถามว่า “ต้องผ่าตัดเหรอเลย ทำไมตอนที่ไปหาหมอที่เป็นอายุรกรรมเขาไม่บอก” หมอตอบว่า “หมออายุรกรรมเขารักษาตามอาการ เขาไม่ได้ส่องดูจมูก ถ้าไม่ผ่าตัด มันก็เป็นแบบนี้อีกเรื่อยๆ เรื้อรังรักษาไม่หาย เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามาหาหมออีกที แล้วค่อยคุยกันว่าจะผ่าตัดหรือไม่ผ่า”

ไม่รู้ว่าเราเล่าแล้วคนอื่นจะได้อารมณ์ตามที่เรารู้สึกหรือเปล่า คือ งงอ่ะนะ แบบว่าตั้งใจมาหาหมอเพราะคิดว่าตัวเองเจ็บคอเป็นหวัด หมอคงให้ยาแก้เจ็บคอกับยาแก้อักเสบ แต่ปรากฏว่าคำพูดแรกๆ ที่ได้ยิน คือ ต้องผ่าตัด แล้วหมอก็พูดเรื่อยๆ ธรรมดาๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ช่างไม่นึกถึงความรู้สึกของเราบ้างเลย เรารู้สึกคล้ายๆ กับตอนเวลาเอารถเข้าไปซ่อมที่ศูนย์เลย คือตอนก่อนเข้ารถเรามันก็วิ่งได้ดีๆ แต่พอเจอช่าง ช่างก็จัดการร่ายโน่นร่ายนี่ออกมาเสียราวกับว่าถ้าไม่ซ่อมเสียแต่ตอนนี้รถเรามันจะพังหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ ตอนแรกๆ เราก็กลัวรถจะพัง ช่างบอกให้ซ่อมอะไรก็ซ่อม หลังๆ ชักรู้แกวไม่ค่อยบ้าจี้ไปตามช่าง รถก็ยังวิ่งได้ (ถึงแม้จะห่วยๆ หน่อยก็ตามที) แต่ตอนนี้เป็นตัวเองไปเข้าโรงซ่อม พอหมอบอกแบบนี้รู้สึกคล้ายกันแต่แย่กว่าเยอะเพราะไม่ค่อยกล้าเสี่ยงจะ “ไม่ซ่อม” กลัวทนๆ ใช้ไปซักพักมันเจ๊งทั้งระบบจะยิ่งซวยหนัก

เราก็เลยถามหมอไปว่า “ตกลง ‘ต้อง’ ผ่าตัดเหรอ” หมอตอบว่า “มันไม่ถึงกับ ‘ต้อง’ ผ่าตัดหรอกนะ ‘มันไม่ตาย’ ไม่เหมือนเป็นไส้ติ่ง ไม่ผ่าแล้วตาย แบบนี้ถ้าอยากเป็นปกติก็ต้องผ่า ตอนนี้มันไม่ปกติอยู่ เอาไว้ดูอาการอาทิตย์หน้าแล้วค่อยคุยกัน” เราเห็นหมอพูดแบบนี้ก็ไม่อยากจะเซ้าซี้ หมอคงจะอยากรีบกลับบ้านแล้ว ส่วนเราอยากจะลองหาข้อมูลเพิ่มก่อนที่จะต้องคุยเรื่องนี้ให้มันลึกซึ้งไปกว่านี้ ถึงหมอจะบอกว่าเป็นผ่าตัดเล็ก เราก็คิดว่าเราคงไม่ตัดสินใจอะไรถ้าไม่ได้ฟัง Second Opinion จากหมอคนอื่นหรือมีข้อมูลมากกว่านี้

ตกลงวันนี้ได้รู้จักโรคใหม่ “ผนังกั้นโพรงจมูกเบี้ยว” แบบไม่ค่อยอยากจะรู้จักซักเท่าไหร่

ปล. ตอนแรกเราเขียนไปว่า หมอบอกว่า "เยื่อแบ่งโพรงจมูก" ของเราเบี้ยว แต่พอมานึกๆ ดู หมอน่าจะบอกว่า "ผนังกั้นโพรงจมูก" มากกว่า เราก็เลยแก้ไปตามที่เรานึกได้ แต่ที่จริงก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าตกลงมันควรจะเรียกว่าอะไร ก็แหม... เกิดมาก็เพิ่งได้ยินมันเป็นครั้งแรก แถมได้ยินตอนหมอคิดว่าเราจะต้องผ่าตัด ก็ต้องตกใจลนลาน จำผิดจำถูกเป็นธรรมดา เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเจอหมอ คงมีสติสตังดีพอจะฟังให้ละเอียดว่าเขาเรียกอะไรกันแน่

ปล 2. หลังจากอัพเดทไดอารี่เรื่องนี้ไปเรียบร้อย เราก็ไปคิดๆ ดู ก็คิดว่า น่าจะผ่าตัดเหมือนกัน แล้วก็ให้หมอเขาผ่าตัดเสริมดั้งไปพร้อมๆ กันเลย แบบว่านอกจากจะผนังกั้นโพรงจมูกไม่เบี้ยวแล้ว ยังจะได้สวยปิ๊งดั้งโด่งอีกด้วย อันหลังนี่เป็นสาเหตุหลักที่จะผ่าตัด ส่วนอันแรกเป็นของแถม... 555