You asked for it
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเรื่องที่จะอ่านวันนี้เป็นการเกริ่นเรียกน้ำย่อย เรื่องที่ตั้งใจจะเขียนจริงๆ มีสองตอน (คิดว่า สอง อ่ะนะ แต่ไม่สัญญา อาจจะสามสี่ห้าหก ขึ้นอยู่กับว่าน้ำลายแตกฟองขนาดไหน :P)

การที่เรามัวไปหมกมุ่นกับการเล่าเรื่องนรกในที่ทำงานของเรา บวกกับการที่งานยุ่งมากๆ ทำให้หมู่นี้เราไม่ได้ทำหน้าที่สมาชิกชมรมวิจารณ์บันเทิง (คือดูหนังแล้วก็มาบ่นบ้าไปตามประสาเรา) ซักเท่าไหร่ ช่วงที่ผ่านมาถึงจะงานยุ่งแต่เราก็ยังเจียดเวลาไปดูหนังอยู่สม่ำเสมอ อาทิตย์ละเรื่องสองเรื่องตามอัตภาพ ดูแล้วชอบไม่ชอบก็เก็บไว้ในใจเพราะไม่มีเวลามาเขียนเล่า คราวนี้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้งก็เพราะ “คุณขอมา”

ช่วงนี้หนังไทยเข้าเยอะ ก่อนหน้านี้มีเรื่อง “พันธุ์ร็อคหน้าย่น” ออกมาชนกับเรื่อง “องค์บาก” ช่วงวาเลนไทน์ก็มีหนังรักมาชนกันอีกคือ “ความรักครั้งสุดท้าย” กับ “กุมภาพันธ์” เราไปดูสองเรื่องแรกมาแล้วตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ส่วนสองเรื่องหลังยังไม่ได้ดู เพราะเราชอบดูหนังราคาถูก ต้องรอให้มันเขาฉายซักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อน อาทิตย์ที่แล้วเราก็เลยไปดูหนังของ ๒ อาทิตย์ ที่แล้วมาคือ Serendipity, Catch Me If You Can, Two Weeks Notice แล้วก็หนังจีนเรื่อง Hero แต่คราวนี้มาว่ากันแต่หนังไทยดีกว่า

ปกติเราเป็นคนที่พยายามจะสนับสนุนหนังไทยเท่าที่ทำได้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานเราไปดูเรื่อง ตะลุมพุก มาด้วยความที่คาดว่ามันน่าจะดี แต่ปรากฏเราว่าให้เครดิตมันมากเกินไปก็เลยผิดหวังออกมา มันเหมือน Titanic บวกกับ Perfect Storm (บวกกับบทหนังที่สุดยืดเยื้อจนเราดูๆไปก็กลัวว่าหนังจะไม่ยอมจบ) หลังจากตะลุมพุกแล้ว ยังไม่เจอหนังเรื่องไหนที่ทำให้รู้สึกว่าน่าเบื่อหรือผิดหวัง เพราะก่อนเข้าไปดูทำใจไว้ก่อนแล้ว

พันธุ์ร็อคฯ เป็นเรื่องของอดีตนักดนตรี (วัยดึก) ที่แยกย้ายกันไปทำมาหากินอย่างอื่น แล้วต้องการจะกลับมารวมตัวกันเพื่อเล่นคอนเสิร์ทรำลึกความหลังสมัยที่ดนตรีร็อคยังรุ่งอนาคตยังสดใส ก็สนุกสนานฮาๆบันเทิงดี พวกนักแสดงที่เล่นก็สมกับบทดี เขาเล่นกันแบบสบายๆไม่เครียด คนดูอย่างเราก็เลยดูสบายไม่เครียดไปด้วย (เราดูแล้วนึกไปถึงหนังฝรั่ง Almost Famous กับ Dick ซึ่งไม่ได้มีเรื่องราวใกล้เคียงอะไรกับพันธุ์ร็อคฯหรอก แต่เราแค่รู้สึกว่ามันบรรยากาศเดียวกัน คือเป็นการย้อนกลับไปสมัย 70 ที่เขานิยมใส่กางเกงขาบาน บ้าร็อคแอนด์โรล) องค์ประกอบโดยรวมๆ ของหนังก็ลื่นไหลดี จะติอยู่หน่อยก็ตรงตอนจบนี่แหละ เราว่ามันห้วนไปหน่อยหนึ่ง คือหนังมันจบตอนอารมณ์กำลัง “พีค” ซึ่งเรารู้สึกว่ามัน “ไม่พอดี” ตัวอย่างของหนังที่จบได้พอดีในความรู้สึกเราก็อย่างเรื่อง “๑๕ ค่ำเดือน ๑๑” นั่นไง จบพอดีเป๊ะ แต่อันนี้ก็เป็นความรู้สึกส่วนตัวของเรา ผู้รับข่าวสารโปรดใช้วิจารณญานก่อนเชื่อ

ส่วน องค์บาก เป็นเรื่องของไอ้หนุ่มบ้านนอกที่ลุยเดี่ยวเข้ามาในเมืองกรุงเพื่อตามหาเศียรองค์บากที่ถูกคนแอบขโมยตัดเศียรไปขาย องค์บากเป็นชื่อของพระพุทธรูปที่มีรอยบากอยู่บนหน้า เป็นพระที่คนในหมู่บ้านเคารพบูชามาก (หน้าพระเขาเรียกว่า “พระพักตร์” ด้วยหรือเปล่าอ่ะ) ในโฆษณากับหนังตัวอย่างเขาโหมกระหน่ำว่าพระเอกเล่นบทบู๊เองโดยไม่ใช้ตัวแสดงแทน ไม่ได้ใช้เชือกสลิง เรากะดูหนังบู๊สไตล์เฉินหลงเต็มที่ ก็เลยไม่ได้ผิดหวังอะไร (แต่จะว่าพระเอกจะดูเหมือนสตีเวน ซีกัลซะมากกว่า คือไม่ต้องมีบทพูดหรือการแสดงมากนัก บู๊ลูกเดียว)

ความที่เรื่องเขาเขียนมาให้พระเอกเป็นนักสู้มือเปล่ามีวิชาหมัดมวยสุดยอด มันก็เลยมีความไม่สมจริงอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า พระเอกต้องสู้กับผู้ร้ายที่เป็นนักค้าของโบราณเถื่อน คนพวกนั้นมีอาวุธครบมือแต่กลับแพ้พระเอกที่มีแต่มือเปล่า ถ้าทำใจลืมๆเรื่องนี้ไปเราก็ว่าหนังมันบันเทิงดีเหมือนกัน เราชอบการตัดต่อหนังตอนที่พระเอกออกท่าวิชาหมัดมวย ความจริงเราจะต้องแบบดูตาไม่กระพริบ (เพราะมันเร็วมาก ถ้ากระพริบแล้วจะพลาด) แต่เขาก็จะเอามาสโลว์ให้ดูอีกรอบหนึ่ง เหมือนดูมายากลแล้วเขามาเฉลยให้ดูว่าตะกี้นี้ทำอะไรไปมั่ง เป็นการตัดต่อที่ดูแปลกแล้วก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจดี

เมาธ์หนังไทยไป 2 เรื่องแล้วทีนี้กลับมาที่เรื่องที่บอกว่า “คุณขอมา” ดีกว่า คือเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เรานัดกินข้าวกับพี่หนิงพี่ปุ๊กพี่หญิง มีอยู่ตอนหนึ่งก็คุยกันเรื่องหนัง พี่หนิงก็ถามเราว่าเราไปดูกุมภาพันธ์มาหรือยัง เราบอกว่าตั้งใจจะไปดูเหมือนกัน เพราะได้อ่านบทสัมภาษณ์ผู้กำกับในมติชนตอนที่ไปหาหมอผนังกั้นโพรงจมูกคด (เราจำไม่ได้แล้วว่าผู้กำกับคนนี้เขาเคยทำอะไรมาก่อนที่จะมากำกับหนัง รู้สึกจะประมาณทำโฆษณาหรือมิวสิควิดีโอ ไม่แน่ใจว่าเขาเคยทำหนังมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า) อ่านจากคำถามคำตอบแล้วก็เดาว่า เขาคงเป็นคนที่ค่อนข้างจะมั่นใจในตัวเองพอสมควร (หรือที่จริงจะเป็น “มากเกินควร”?) เขาพูดว่าเขามั่นใจว่าหนังเขาดี และเขาก็ไม่กลัวที่จะอวดว่ามันดี เขาคิดว่าถ้าแกรมมี่เอาคนเข้าโรงหนังได้ (คงหมายถึงทำโฆษณาให้คนสนใจได้) หนังของเขาก็เอาคนดูอยู่ ทำให้เราอยากรู้ว่าหนังเขาจะดีสมราคาคุยหรือเปล่า

พี่หนิงบอกว่า ตอนแรกคิดจะไปดูหนังเรื่องนี้ แต่ดูโฆษณาที่ (สมัยนี้เขาจะนิยมไป) สัมภาษณ์คนดูตามหน้าโรงหนังตอนเพิ่งได้ดูหนังจบออกมา ส่วนใหญ่เขาก็จะบอกว่าหนังดีกันทั้งนั้น (ที่บอกว่าไม่ดีเขาคงไม่เอามาให้ดู เพราะมันเป็นโฆษณา) แถมมีอยู่คนหนึ่งบอกว่า “ดูแล้วอยากแต่งงาน” พี่หนิงก็เลยไม่กล้าชวน “ว่าที่” ไปดู บอกว่ากลัวเขาจะหาว่าสร้างแรงกดดัน (ไอ้เราก็สงสัยว่าแล้วทำไมพี่หนิงไม่ไปดูคนเดียว หรือว่าการที่คนเรา “ว่าที่” แล้วเนี่ย มันทำให้ความสามารถในการเข้าโรงหนังคนเดียวหมดไปโดยปริยาย??)

พี่หนิงยังบอกอีกว่าไปคุยกับเพื่อนมา ก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า แกรมมี่เขาโฆษณาว่า “กุมภาพันธ์ เป็นหนังที่ผู้หญิงทุกคนต้องดู” เพื่อน (ผู้ชาย of course!) บอกว่า อ้าวหนิงไม่เห็นเขาเขียนวงเล็บไว้เหรอ “กุมภาพันธ์ เป็นหนังที่ผู้หญิง(โง่)ทุกคนต้องดู” ฟังแบบนี้แล้วพี่หนิงก็ใจฝ่อไป แล้วก็มาบอกให้เราเป็นหน่วยกล้าตาย (กล้าโง่) ไปดูมาก่อนแล้วมาเล่า ถ้ามันดีพี่หนิงจะได้ไปดูมั่ง แต่ไม่ดีก็ปล่อยให้เราโง่อยู่คนเดียว (ประโยคหลังนี้เรารำพึงกับตัวเองเฉยๆ)

มติชนสุดสัปดาห์ฉบับล่าสุดพรพิมล ลิ่มเจริญเขียนวิจารณ์ทั้ง กุมภาพันธ์ และ ความรักครั้งสุดท้าย ในตอนเดียวกัน เราไม่ได้อ่านที่เขาเขียนเพราะไม่ชอบอ่านบทวิจารณ์ก่อนดูหนัง เพราะมันจะให้ดูหนังแล้วไม่ Surprise และทำให้เรามี Bias กับหนัง แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะปรายตาไปดูสรุป เขาบอกว่า เขาให้คะแนนความรักครั้งสุดท้ายมากว่ากุมภาพันธ์ เพราะเขาคิดว่าดูหนังทั้งทีก็ต้องสนุก ไม่ใช่ว่าไปดูภาพสวยๆเพลงประกอบเพราะๆ ตอนแรกกะจะไปดูแต่ กุมภาพันธ์ ตามคำขอของพี่หนิง แต่พออ่านที่พรพิมลเขียนแบบนี้ก็เลยคิดว่าคงจะต้องไปดู ความรักครั้งสุดท้าย ด้วยซะแล้ว