February
ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มต้นด้วยคำเตือนประจำตัวของเราว่า ใครที่ยังไม่ได้ดู กุมภาพันธ์ และเป็นคนประเภทไม่ชอบรู้พล็อตเรื่องก่อนดูหนัง ชอบเข้าไป Surprise (ซึ่งบางทีอาจจะกลายเป็นเศร้าใจอยากตีอกชกตัวว่าตูนี่โง่สิ้นดี ต้องมาทนดูหนังห่วยๆ) ก็ข้ามตอนนี้ไปก่อน ดูแล้วค่อยกลับมาอ่าน (หรือจะไม่กลับมาอ่านก็ได้ ไม่ว่ากัน)

ชื่อหนัง กุมภาพันธ์ เป็นกำหนดที่นางเอกในเรื่องซึ่งกำลังป่วยเป็นโรคทางสมองจะต้องเข้ารับการผ่าตัด หาได้เกี่ยวกับเดือนแห่งความรักไม่ แต่ความเป็นเดือนแห่งความรักก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกเดือนนี้เป็นชื่อเรื่องก็ได้ เขาจะเลือกเดือนไหนก็ได้ใน ๑๒ เดือนแต่ก็เลือกเดือนกุมภาพันธ์ แต่มานึกดูแล้วน่าจะเป็นเหตุผลทางฤดูกาลมากกว่า เดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเวลาของปีที่จะทำให้เขาได้แสดงภาพสวยๆ ในนิวยอร์ค อย่างฉากหิมะตกบน Brooklyn Bridge -- ซึ่งถ้าไปเลือกเดือนที่เป็นหน้าร้อนจะให้มีหิมะตกก็ไม่ได้ (แต่หิมะในหนังเป็นของปลอมนะ ใช้ Special Effect แต่งเอา เพราะหิมะจริงไม่ขาวสะอาดเป็นปุยสวยแบบนั้น)

ในเรื่องนางเอกเป็นศิลปินที่ขายรูปไม่เคยได้ นอกจากป่วยหนักแล้ว ชีวิตด้านอื่นก็ไม่ค่อยโสภา เพราะแฟนก็ไปมีผู้หญิงคนใหม่ พ่อก็ไม่สนใจใยดี คุยกันก็ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ชอบที่ลูกตัวเองชอบวาดรูปมากกว่าจะทำงานอย่างอื่นให้เป็นเรื่องเป็นราว ขนาดป่วยหนักแบบนี้พ่อก็ยังไม่รู้ มีแต่เพื่อนที่คอยดูแล ระหว่างที่รอการผ่าตัดนางเอกก็เลยตัดสินใจจะหนีบรรยากาศรันทดหดหู่ไปหาเพื่อนอีกคนที่นิวยอร์ค

พระเอกเป็นโรบินฮู้ดทำงานผิดกฎหมายอยู่ในนิวยอร์ก กำลังจะคิดเลิกและหาทางกลับเมืองไทย ก็บังเอิญมาเจอกับนางเอก เพราะนางเอกโดนแท็กซี่ที่สนามบินหลอกพาไปที่อื่น ตอนที่หนีมาได้ก็บังเอิญมาโดนพระเอกที่กำลังขับรถหนีพวกแก๊งค์ค้ายาเสพติดขับพุ่งเข้าชนสลบเหมือด ตอนแรกพระเอกจะทิ้งไว้กลางถนนแล้ว แต่ในที่สุดก็รับไปส่งร้านหมอจีนที่เป็นพรรคพวกของพวกมาเฟียจีนค้ายาเสพย์ติดที่พระเอกรับทำงานให้ พวกมาเฟียจีนไม่ยอมให้ทิ้งนางเอกไว้ร้านหมอ พระเอกก็จะพานางเอกไปส่งบ้าน แต่ปรากฏว่านางเอกก็ดันความจำเสื่อมจำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง พระเอกก็เลยจำต้องให้นางเอกมาอยู่ด้วยไปก่อน

คนสองคนต้องมาอยู่ด้วยกัน ค่อยๆทำความรู้จักกัน ค่อยๆเรียนรู้กันไปแล้วก็รักกัน (ตามฟอร์ม) เนื้อเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่ของใหม่ ตอนจบของหนังก็เหมือนจะเป็นไปตามความคาดหมาย แต่ในรายละเอียดก็ยังมีพล็อตที่พลิกไปนิดหักมุมไปหน่อย มีมุขโน่นนี่มาเติมทำให้หนังไม่น่าเบื่อ

กุมภาพันธ์ เป็น หนังภาพ ไม่ใช่ หนังพูด คือ บทสนทนาไม่ค่อยเยอะ เขาจะใช้ภาพเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ คนดูดูไปก็ต้องคิดตามไปว่าที่เห็นแบบนี้หมายถึงแบบนี้ ซึ่งเราว่าก็เหมาะสมกับสถานการณ์ในเรื่องดี เพราะคนสองคนเป็นคนแปลกหน้า คนหนึ่งเป็นคนไม่มีอดีตเพราะความจำเสื่อมจำอะไรไม่ได้ อีกคนไม่มีอดีตที่น่าภูมิใจและเหมือนจะไม่มีอนาคตด้วยซ้ำ มันคงแปลกถ้าจะมีบทสนทนาเจื้อยแจ้ว การที่ไม่ค่อยมีบทสนทนามีส่วนช่วยให้นักแสดงหน้าใหม่อย่างนางเอกสอบผ่านกับบทนี้ได้อย่างสบายๆ ไม่รู้สึกว่าเขาเล่นแข็ง การจะทำตัวเกร็งๆหรือแปลกแยกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเธอจำเรื่องของตัวเองไม่ได้

เราว่าหนังเขาตั้งใจถ่ายภาพและตัดต่อมาก แต่ละฉากแต่ละตอนทำไปอย่างมีความหมาย ค่อยๆบอกรายละเอียดของตัวละครและสร้างความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย ไม่มีฉากไหนที่ใส่เข้ามาโดยไม่มีประเด็น ส่วนใหญ่จะนำไปสู่เรื่องที่ต้องการจะบอกเล่า ถึงแม้หลายๆตอนดูออกว่าจงใจแต่เราว่ามันเวิร์คและน่ารักดี

อย่างเช่น ตอนนางเอกได้ชื่อใหม่ของตัวเองหลังจากอยู่ในอพาร์ตเม้นต์ของพระเอกมาตั้งเป็นอาทิตย์ โดยไม่ได้มีการเรียกชื่อเสียงเรียงนาม จี (พระเอกในเรื่องชื่อ จีระเดช แต่เวลาแนะนำตัวจะออกเสียงแบบตัว G ในภาษาอังกฤษ) เอาอาหารเช้ามาวางทิ้งให้นางเอก เป็นนมหนึ่งแก้วกับขนมปังเอบีซี พอกลับมาเห็นนางเอกกำลังกินขนมปังอยู่พอดี ก็ถามว่าพอกินได้ไหม นางเอกพยักหน้า เขาก็ถามต่อว่า กำลังถือตัวอะไรอยู่ ในนางเอกถือตัว D อยู่ แต่ตอบออกมาแบบมึนๆว่า “ตัวไอ” (ตรงนี้คนดูฮา) พระเอกก็ถามย้ำแบบงงๆ ว่านั่นตัว D ไม่ใช่เหรอ แต่นางเอกก็ยังยืนยันว่าเป็น “ตัวไอจริงๆ” พระเอกก็เลยบอกว่างั้นเขาเรียกเธอว่า “ไอ” ไปก่อนแล้วกันเพราะไม่งั้นก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร “ไอ” ก็เลยถามว่า แล้วคุณชื่ออะไร พระเอกตอบว่า “จี” แทนที่จะถามว่าจีอะไร หรือนึกสงสัยว่าคนบ้าอะไรชื่อจี นางเอกกลับรีบก้มลงไปหาในกล่องขนมปังกรอบหาดูว่ามีตัวจีให้กินด้วยหรือเปล่า

หรืออย่างฉากที่ Central Park ตรงน้ำพุที่จีเคยพาไอไป แล้วไอก็ชอบเพราะมีคนวาดรูป เขาเลือกน้ำพุใน Central Park เป็นจุดนัดหมายเวลาไอหลงทาง จีบอกว่า “ถ้าหลงทางให้มาที่ Central Park นี่ ถามใครๆเขาก็รู้จัก” “แต่ที่นี่มันกว้างจะตายไป” “งั้นมาเจอกันที่น้ำพุนี่ละกัน ใหญ่ดี” “แล้วในนี้มันมีน้ำพุอันเดียวเหรอ” “ก็มีหลายอันอยู่” “งั้นเอาอย่างงี้ ไอเห็น Homeless ที่นอนอยู่นั่นไหม ถ้ามาที่น้ำพุแล้วเห็นเขานอนอยู่ที่นั่น ก็แสดงน้ำพุอันนี้ใช่แล้ว” “แล้วถ้าเขากลับบ้านไปล่ะ” “พวก Homeless เขาไม่มีบ้าน ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ผมยังไม่เห็นเขาไปไหนเลย” ฉากนี้มันเป็นฉากปูไปสู่ฉากสุดท้ายตอนจบ

พอมาตอนใกล้จบหลังจากที่ไอกลับมาเมืองไทยแล้วไปหาจีที่นิวยอร์คอีกรอบ ก็ไปที่อพาร์ตเมนต์แต่ไปเจอคนจีนที่เคยทำงานอยู่ที่แก็งค์มาเฟีย เขาบอกว่าจีตายไปแล้ว ไอกับเพื่อนขับรถผ่าน Central park ไอก็เลยแวะขอลงไปดู ปรากฏว่าคนที่นอนอยู่ตรงที่ Homeless เคยนอนอยู่คือจี แต่ไอไม่เห็น ก็เลยจะกลับขึ้นไปหาเพื่อนแล้ว ตอนกำลังจะข้ามถนนก็บังเอิญมีรถตัดหน้าแล้วก็เลยชะงัก เห็นกระดาษปลิวผ่านไป จำได้ว่าเป็นรูปที่ตัวเองวาด ก็กลับไปใน Park อีกก็เลยได้เจอกับจี ไอบ่นว่าทำไมจีมาอยู่ที่นี่ ทำไมโทรมแบบนี้ จีบอกว่า “ไอจำ Homeless ที่นอนอยู่ตรงโน้นได้ไหม เขาตายแล้ว จีกลัวว่าไอจะจำที่นี่ไม่ได้” (ถ้าไอมาแล้วไม่เห็น Homeless นอนอยู่) โห... ไม่เชื่อว่าผู้ชายคิดมุขแบบนี้ได้อ่ะ ซึ้งซะ

เราชอบหนังเรื่องนี้เพราะมันทำให้เราเชื่อว่า ตัวละครในเรื่องจะคิดอย่างที่เขาคิดและทำอย่างที่เขาทำ มันดูมีเหตุผลที่จะเป็นไปได้ แต่มีบางตอนที่เรารู้สึกว่าไม่สมจริงหรือผิดปกติไป อย่างที่การที่พระเอกไปรอนางเอกที่เซ็นทรัลพาร์คหนะ เราว่าพระเอกทึ่มไปหน่อยนะ คือน่าจะรู้ว่านางเอกกลับเมืองไทยไปแล้ว (เพราะต้องไปหาที่โรงพยาบาลแล้วไม่เจอ) ก็น่าจะพยายามจะตามหาหรือทำอะไรที่ฉลาดกว่ามาเป็น Homeless อยู่ใกล้น้ำพุ แต่การกระทำทึ่มๆ แบบนี้มันโรแมนติกไง ก็เลยยอมรับได้ ไม่ต้องสมเหตุสมผลก็ได้ สุดท้ายแล้วผู้หญิงก็จะซาบซึ้งกับการกระทำทึ่มๆ แต่โรแมนติกซึ่งมีแต่ในหนัง ในชีวิตจริงผู้ชายจะฉลาดกว่านั้น แต่เป็นประเภทฉลาดแต่ไม่โรแมนติกแถมบางทีนิสัยโหลยโท่ยอีกต่างหาก

ตอนแรกเราที่ดูหนังจบเห็นพระเอกซาบซึ้งกับนางเอกจบแล้วก็ฟุบลงไป เราคิดว่าหนังจบไม่ดีเลย Cliché มากและนิยายชัดๆ อุตส่าห์อยู่ทนบาดเจ็บมาตั้งนานเพื่อมาตายตรงหน้านาง แต่พอมานึกดูทีหลังจำได้เลาๆ จากที่อ่านบทสัมภาษณ์ผู้กำกับเขาบอกว่า ตอนจบหนังของเขาไม่ใช่หนังที่เศร้าสุดๆ หรือสุขสุดๆ มันกึ่งๆแล้วแต่คนดูจะคิด มานึกดูก็จริง มันแล้วแต่จะตีความ เขาไม่ได้ฉายให้ดูว่าเพระเอกหมดลมไปจริงๆ ซักหน่อย พระเอกอาจจะแค่สลบไปเพราะไม่สบาย แล้วนางเอกไปตามคนมาช่วยได้ เราคิดว่าจบแบบหลังดีกว่า

วันนี้เล่าเรื่อง กุมภาพันธ์ จบได้ใน ๑ ตอน (แบบยาวๆ แต่ขอโทษ Goal is met!!) ถ้าใครคิดจะมาอ่านตอนสรุปสุดท้าย (คล้ายกับที่เราอ่านบทวิจารณ์ของพรพิมล ลิ่มเจริญ) ก็ต้องบอกว่าเราชอบหนังเรื่องนี้ (ไม่ได้บอกว่าเป็นหนังดีนะ เพราะเวลาใครบอกว่าหนังดีไม่ดีเราว่ามันเป็นความชอบส่วนตัวมากกว่า) ที่พรพิมลบอกว่ามันเป็นหนังที่มีภาพสวยๆมีเพลงประกอบเพราะๆก็ถูกต้องแล้ว แต่เราอยากเพิ่มเติมว่า เราว่าพล็อตเรื่องก็โอเคด้วย ดูแล้วยังมีอะไรให้ออกมาคิดต่อด้วยความรู้สึกดีๆ และเราก็ไม่รู้สึกด้วยว่าตัวเองเป็น “ผู้หญิงโง่” ที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วบอกว่าชอบ :)