ไปสอบเด็ก
วันนี้โดดงานตอนบ่ายครึ่งวัน เพราะรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์เขามา “ขอแรง” ให้ไปเป็นช่วยเป็นคณะกรรมการสอบวิชาโปรเจ็คต์เด็กนักเรียนปริญญาตรี ความจริงปีก่อนเขาก็โทรมาถามเราเหมือนกันแต่เราไม่ว่าง ปีนี้เรากำลังอยู่ในระหว่างเซ็งๆ ก็เลยหาโอกาสเบี้ยวงานซะเลย

เราบอกพี่ที่ที่ทำงานว่าจะไปเป็นกรรมการสอบเด็ก พี่ๆกำชับว่า “นิจอย่าโหดมากนักนะ” เพราะก่อนหน้านี้ (ประมาณ ๒ ปีมาแล้วหละ) เราเคยสร้างประวัติศาสตร์ไล่คนลงจากเวทีมาแล้ว คือ บริษัทเราซื้อโปรแกรมอัพเกรดเวอร์ชั่น AutoCAD ความที่ซื้อเยอะ (สิบกว่า License) ก็เลยระบุว่าบริษัทที่ขายต้องส่งคนมาเทรนการใช้งานให้ด้วย คือให้แนะนำว่าเวอร์ชั่นใหม่มีฟังก์ชั่นอะไรใหม่ๆ ที่ดีกว่าเก่า บริษัทที่ขายก็รับปากว่ามีคนเทรนให้แน่นอน เป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญ AutoCAD จริงๆ

แต่วันที่นัดเทรนกันจริงๆ อาจารย์คนนี้ไม่ว่าง เขาก็ส่งตัวแทนมา ประมาณว่าเป็นพนักงานที่เคยมาลงโปรแกรมให้ ซึ่งแกก็คงไม่รู้ว่าจะต้องมาสอนการใช้งานแบบเป็นเรื่องเป็นราว เรามีเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ให้ในห้องประชุม และให้อธิบายผ่านจอโปรเจ็คเตอร์ มีคนฟังประมาณ 10 กว่าคน ความที่ไม่ได้เตรียมตัวมา ไม่มีสคริปต์ว่าจะสอนอะไรบ้าง เขาก็เลยใช้วิธีไล่ตามเมนูของ AutoCAD ให้พวกเราดู

คนฟังส่วนใหญ่ใช้ AutoCAD ทำงานกันมาอย่างต่ำๆ ก็สามสี่ปี สิ่งที่เขาทำให้ดู คนฟังส่วนใหญ่รู้หมดแล้ว และพอถามเรื่องฟังก์ชั่นใหม่ๆ เขาก็ตอบคำถามไม่ได้ เพราะเขาเองก็ยังไม่เคยใช้เหมือนกัน (เขาไม่ได้บอกหรอกนะ แต่ดูจากอาการเขาก็รู้ว่าน่าจะแค่เคยเห็นผ่านๆ) เขาสอนไปได้ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็มีพักให้ยืดเส้นยืดสาย

เราเห็นท่าไม่ดีก็เลยถามคนอื่นๆ ว่าคิดยังไง ทุกคนก็ท่าทางไม่ค่อยแฮ้ปปี้เท่าไหร่กับการสอน ประมาณว่าเสียเวลาเปล่า เราถามว่าแล้วบบนี้จะให้เขาเทรนต่อไปไหมหรือว่าจะให้เขาเอาคนที่รู้มากกว่านี้มาเทรน (เผอิญเป็นความซวยของบริษัทนี้ ที่เราเป็นคน Coordinate เรื่อง Training อันนี้) คนส่วนใหญ่ก็บอกว่า ถ้าได้คนที่รู้มากกว่านี้ก็น่าจะดี

พอทุกคนกลับมาในห้องประชุม เราก็เลยบอกคนที่มาเทรนว่า ท่าทางเขาไม่ค่อยพร้อมที่จะเทรนซักเท่าไหร่ (เป็นต้นว่า ในระหว่างที่เขาเทรน เขามองภาพที่จอไม่เห็นเพราะลืมเอาแว่นตามา!!) เอาเป็นว่าให้เขากลับไปเตรียมตัวมาให้พร้อมก่อน แล้วค่อยมาเทรนใหม่ดีกว่า คนนั้นเขาก็อึ้งไป แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร (คงพูดอะไรไม่ออก)

พอคนที่มาเทรนเขากลับไป ทุกคนก็มารุมประณามว่าเราโหดร้ายเกินไป ไม่รักษาน้ำใจคนเทรนเลย แต่พอเราไปเล่าให้ทอมฟัง ทอมกลับบอกว่า เราทำถูกแล้ว ถ้าเขาไม่พร้อมที่จะเทรน ก็ให้เขากลับไปก่อน เพราะเราก็ต้องเสียเวลาทำงานของเราเหมือนกัน เราควรจะได้ประโยชน์อย่างเหมาะสม

มานึกย้อนกลับไป เราก็ว่าเราโหดเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าไหร่ :)

ออกนอกเรื่องไปไกลอีกแล้ว กลับมาเรื่องสอบเด็กกันดีกว่า... ตั้งแต่ตอนแรกที่พี่เขาชวนมาก็คิดว่าอยากไป คนอื่นเห็นเราทำท่ายิ้มกริ่ม ก็คงคิดว่าเราคงอยากจะไปสำแดงความโหดเหี้ยม อัดเด็กพวกนี้ตายให้ตายกลางห้องสอบ แต่ใจจริงเราแค่คิดว่าน่าจะได้ประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง

เราตั้งใจไว้ด้วยซ้ำว่าจะไม่โหดเพราะ

เด็กที่สอบนี่ก็เป็นรุ่นน้องทั้งนั้น (ที่จริงจะเป็นรุ่นหลานแล้วหรือเปล่า ตอนที่สอบเสร็จ ก็มีการแนะนำตัวกันนิดหน่อย พอเราบอกว่าเราเรียนรุ่นไหน เด็กพวกนี้ร้อง “โอ้โห” รู้สึกว่าจะห่างกับเราอย่างประมาณสิบรุ่น)

พอเราไปถึง คำแรกที่รุ่นพี่เขาทักเราคือ “อ้าว เธอมาวันนี้หรอกเหรอ” คือเขาจำเป็นว่านัดให้เรามาวันอื่น เขาบอกว่าวันนี้หัวข้อส่วนใหญ่เป็นฮาร์ดแวร์นะ ประมาณว่ากลัวเราจะฟังไม่ไหว (โง่เกิน) แต่ก็บอกว่าไม่เป็นไร เพราะจะมีรุ่นน้องอีกคนหนึ่งจบด็อกเตอร์ทาง Mechatronic เป็นนักวิจัยและเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาลัยอีกแห่งหนึ่ง จะมาร่วมฟังด้วยแต่เขาจะมาช้าหน่อย

ก่อนเข้าห้องสอบ รุ่นพี่เราก็กำชับว่า “ให้ถามได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ เอาโหดๆ หน่อยก็ดี” เราก็รับปากไปว่าจะให้โหดก็ได้ แต่พอเอาเข้าจริงเราก็รู้สึกว่ามันยาก ตอนแรกเราคิดว่าเขาให้เรามาเป็นกรรมการร่วม คือมีอาจารย์อื่นๆ ในคณะคอยถามคำถามด้วย แต่อาจารย์อื่นๆ ไม่ถามเลยให้เราถามเป็นหลัก แค่เริ่มกลุ่มแรกเราก็เริ่มรู้สึกแย่ เพราะเราไม่มีความรู้ในทางทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องที่เอามานำเสนอเลย แต่ก็ต้องพยายามคิดๆ หัวสมองหมุนติ้วว่าจะเอาคำถามอะไรมาถาม ซึ่งคำถามที่เราถามจะเป็นคำถามกว้างๆ (และเป็นเชิงแสดงความคิดเห็น) ซะเป็นส่วนใหญ่

โชคดีของเราที่น้องที่เป็นด็อกเตอร์เขามาเป็นกรรมการด้วยเขามาช่วยชีวิตไว้ได้ เพราะมาถึงทันตอนที่เราหมดคำถามพอดี แต่กลับกลายเป็นโชคร้ายของเด็กๆที่สอบ เพราะน้องคนนี้เขาเก่งมากๆ มีความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฎิบัติในด้านนี้แน่นเปรี๊ยะ ถามไปแต่ละคำถามตรงประเด็น ทำเอาบางคนที่อธิบายคล่องๆ อยู่ดีๆ อึ้งไปได้เลย

แต่ว่าถ้าจะมองในมุมกลับเด็กพวกนี้ก็โชคดีเหมือนกันที่ได้เจอกับคนเก่งๆ อย่างน้องที่เป็นด็อกเตอร์ เพราะเวลาที่ถามคำถามไปแล้วถ้าเด็กตอบคำถามไม่ได้ น้องเขาก็จะอธิบายพร้อมให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาให้อีกด้วย ก็ทำให้เขาได้ความรู้เพิ่มขึ้น (ถ้ามีแต่เราถาม ก็คงได้แค่เป็นการวัดความเข้าใจของเด็กในเรื่องที่เขาทำ แต่ไม่ได้ช่วยในแง่ของการปรับปรุงแก้ไขหรือแนะนำความรู้เพิ่มเติมในส่วนที่เขาไม่ได้รู้หรือไม่ได้ทำ)

นอกจากกลุ่มแรกที่เราเป็นคนเปิดประเด็นคำถามเป็นคนแรกแล้ว ตอนกลุ่มต่อๆ มาอีก ๒-๓ กลุ่ม เราก็จะถามคำถามแทรกหรือควบคู่ไป แต่ตอนหลังๆ เราก็กลายเป็น "กรรมการหุ่น" นั่งฟังอย่างเดียว เพราะน้องเขาถามคำถามเสียรอบด้านครอบคลุมไปหมด เราก็ฟังเพลินจนเราคิดไม่ออกว่าจะถามอะไร

จบจากการสอบครั้งนี้ เราก็ได้ความประทับใจว่าเด็กสมัยนี้โดยรวมๆ แล้วทำโปรเจ็คต์ได้ดีกว่าสมัยเราที่เราเรียนมาก ได้ลงมือทำมีชิ้นงานที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ (ถ้าให้เทียบกับโปรเจ็คต์ของเรา ทุกกลุ่มสมควรจะได้คะแนนมากกว่างานของเราเสียอีก) และเด็กสมัยนี้มีความรู้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมมิ่งกันดีมากๆ (ซึ่งต่อไปมันจะกลายเป็นความจำเป็นมากกว่าเป็นข้อได้เปรียบ เพราะคนในยุคสมัยหน้า ต้องรู้อย่างน้อยอีก ๒ ภาษา หนึ่งคือภาษาอังกฤษ สองคือภาษาคอมพิวเตอร์) เรามองเห็นว่าเด็กพวกนี้เขามีศักยภาพ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเอาศักยภาพที่มีอยู่ไปพัฒนาใช้ประโยชน์หลังจากเรียนจบได้มากแค่ไหน

เราประทับใจรุ่นน้องที่มาเป็นกรรมการสอบ (ตัวจริง) ว่าทำหน้าที่ได้ดี จนเราคิดว่าถ้าปีหน้าถ้ารุ่นพี่เราเขาจะมา “ขอแรง” อีก เราคงต้องคิดหนักว่าจะเตรียมตัวยังไงให้เหมาะสมและทำหน้าที่ได้ดีกว่าที่ทำไปวันนี้ คงต้องทำการบ้านมากกว่านี้ แต่ความจริงก็อาจจะไม่ต้องคิดหนัก เพราะจากการประเมินผลของตัวเราเอง เราคิดว่า “ไม่ผ่านเกณฑ์” ทำหน้าที่แค่ปีเดียวก็คงจะพอแล้ว