Still keep going...
จากที่บ่นเรื่อสอนภาษาอังกฤษไป ก็มีคนมาแสดงความเห็น ให้กำลังใจ(และถากถาง ) กันพอสมควร มีทั้งที่ทำให้เราได้คิด มีทั้งที่เราเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ที่พี่ปุ๊กบอกว่าให้เลิกเถอะ หรืออย่างน้อยก็ควรตัดสินใจให้ได้ว่าจะเลิกหรือไม่เลิก เราตัดสินใจไปแล้วหละว่าจะ “เลิก” แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลิกเมื่อไหร่หรือยังไง ความจริงอยากจะ “หักดิบ” ไปเลยแต่ก็เกรงใจคนที่เกี่ยวข้อง เราทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่พี่ปุ๊กบอกว่า “คนอย่างเราสอนหนังสือให้ได้ดียาก”

สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเรามีอาจารย์หลายคนที่เป็นคนเก่งมากๆ แต่สอนได้ห่วยมาก คือแกเล่นอ่านเอาๆ ตามตำราโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่ม เราต้องไปอ่านหนังสือเองทำความเข้าใจเองนอกชั้นเรียน แล้วหลายๆ ครั้งเราก็ต้องมาติวให้กับเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ใช่เป็นเพราะเราเก่ง มีคนอื่นๆ ที่เก่งกว่าเราตั้งเยอะแต่อธิบายให้เพื่อนเข้าใจไม่ได้ เราคิดว่าเราเป็นคนที่มีทักษะในการอธิบายเรื่องต่างๆ ให้คนอื่นเข้าใจได้ดี (แต่บางทีก็อธิบายมากไปจนน่ารำคาญ)

เรา “คิดอย่างมุ่งมั่น” ว่าถ้าหากเมื่อไหร่เรามีโอกาสได้เป็นครูบาอาจารย์เราจะไม่เป็นแบบนี้ เราจะสอนให้ดีเลยเชียว เราไม่อยากจะเป็นครูที่เด็กพูดถึงว่า “อาจารย์เก่งมาก แต่สอนไม่รู้เรื่องเลย” แต่อยากเป็นครูที่ไม่เก่งแต่สอนให้เด็กนักเรียนเข้าใจในสิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้มากกว่า

ความจริงตั้งแต่เรียนจบมาก็มีรุ่นพี่บ้างมีเพื่อนบ้างมาขอให้เราไปช่วยสอนเด็กนักเรียนอยู่เนืองๆ มีทั้งสอนพิเศษเด็กประถม-มัธยม (ติวเข้มเตรียมสอบ) เป็นอาจารย์พิเศษสอนเด็กปริญญาตรี (วิชาทางวิศวฯในสายที่เราทำงาน หรือวิชากึ่งบริหารแบบที่เราเรียนมาตอนปริญญาโท) ครั้งล่าสุดนี่ก็เมื่อเดือนก่อน มีเพื่อนมาขอให้ไปสอนวิชาคล้ายๆ กับจริยธรรมของวิศวกร (สงสัยจริงๆ ว่าจะให้เราไปสอนหรือไปทำลายกันแน่) เราปฏิเสธไปตลอดก็เพราะไอ้ “ความคิดมุ่งมั่น” ของเรานี่แหละ

เราคิดว่าการจะ “สอนให้ดีเลยเชียว” อย่างที่เราคิดไว้ มันต้องทุ่มเทเวลา ต้องเตรียมตัวให้ดีให้พร้อม แต่เราก็ไม่มีเวลาเสียที (มีคนบอกว่า เวลามันก็มีวันละ ๒๔ ชั่วโมง อยู่ตลอด เราไม่รู้จักจัดการเวลาต่างหาก มันก็จริง เรารู้ว่าเรายังทำไม่ได้ เราก็บอกปฏิเสธเขาไป ไม่ยอมทำอะไรที่รู้ว่าจะทำออกมาได้ไม่ดี)

สรุปว่าเราคิดว่าเราเป็นคนที่มีคุณสมบัติในการจะสอนคนอื่นได้ดี แต่คนอย่างเราอาจจะ “สอนหนังสือให้ดีได้ยาก” ก็อาจจะจริง เพราะเราไม่พร้อมเสียที ไม่มีเวลาเสียที

เราอ่านที่ Smiletus เล่าเกี่ยวกับครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษของเธอที่มีเทคนิคการสอนที่ดีทำให้เรียนแล้วสนุก เราก็มีครูสอนภาษาอังกฤษแบบนี้เหมือนกัน มีหลายคนด้วย เราเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนชั้นป. ๔ เพราะเราย้ายจากโรงเรียนบ้านนอกเข้ามาในตัวจังหวัด คนอื่นๆ ในชั้นเริ่มเรียนภาษาอังกฤษกันตั้งแต่อนุบาลหรือป. ๑ ก่อนเปิดเทอมเราก็เลยต้องมาเรียนพิเศษ พอเปิดเทอมมาเราก็ยังช้าๆ เรียนตามเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ทัน แต่คุณครูภาษาอังกฤษคนแรกของเราเขาน่ารักมาก มีความกระตือรือร้นในการสอน พอจบชั้นป. ๔ เราก็ไม่ได้รู้สึกแล้วว่าเราเรียนไม่ทันเพื่อน วิชาภาษาอังกฤษก็กลายเป็นวิชาที่เราทำคะแนนได้ดี และเมื่อทำคะแนนได้ดีเราก็รู้สึกชอบภาษาอังกฤษไปด้วย

ตอนสมัยเราเรียนมัธยมก็มีครูสอนภาษาอังฤษอีกหลายๆ คนที่ทุกวันนี้เราก็ยังจำได้และสำนึกในบุญคุณ ว่าทุกๆ ท่านมีส่วนกันคนละเล็กละน้อยในการที่ทำให้เราสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เครดิตสำหรับคุณครูคนที่สอนได้ดีน้อยกว่าครูคนอื่นๆ ที่สุดก็คือ อย่างน้อยท่านก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเกลียดภาษาอังกฤษ ส่วนคุณครูที่มีเทคนิคพิเศษก็ทำให้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสนุกและน่าสนใจ

พอเรามานึกย้อนถึงการสอนของตัวเอง เราอยากให้เด็กๆ ที่เรียนกับเราไป แล้ววันหนึ่งกลับมานึกได้ว่า เขาได้เรียนรู้คำศัพท์คำนี้ ได้เรียนรู้การใช้ไวยากรณ์แบบนี้ หรือมีความประทับใจและอยากที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะครั้งหนึ่งเขาได้เรียนภาษาอังกฤษกับเรา แต่เราเกรงว่าเรากำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เลวร้ายของเด็กๆ ที่เราสอน เรากลัวว่าพวกเขาจะจำเราในฐานะครูสอนภาษาอังกฤษแย่ที่สุด เราว่าความกลัวอันนี้แหละมั้ง ที่เป็นแรงผลักดันที่แรงที่สุดที่ทำให้เราอยากเลิกสอนภาษาอังกฤษตอนนี้

การลงมือทำอะไรสักอย่าง คนที่ทำก็มักจะหวังผลตอบแทนจากการกระทำนั้นๆ ผลตอบแทนก็มาในรูปต่างๆ กันออกไปไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ชื่อเสียง ความสุขความพอใจ ฯลฯ ตอนที่เราตกลงจะสอนภาษาอังกฤษนี้ ผลตอบแทนที่เราอยากได้คือ เราช่วยให้เด็กที่เราสอนได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษบ้าง แต่ผลที่ได้มันไม่เป็นไปตามประสงค์ของเรา เราคงไม่มีความอดทนมากพอ หรือคาดหวังมากเกินไป หรือ ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม ตราบที่เรายังคงต้องสอนเด็กนักเรียนพวกนี้ เราก็จะพยายามทำให้ที่สุดเท่าที่จะทำได้