Party Is Over Syndrome
เมื่อวานไปงานแต่งงานเพื่อนที่ลาดกระบังมา ได้เจอเพื่อนที่ปกติไม่เคยเจอกัน จะมาเจอกันก็ตามงานต่างๆ นี่แหละ แต่ก็มีเพื่อนที่เจอกันปีละซักครั้งสองครั้งไปด้วย นอกจากรุ่นเราแล้วก็มีรุ่นพี่ที่ถัดๆ ขึ้นที่เป็นอาจารย์ด้วย ก็คุยเรื่องเก่าๆ สมัยเรียน

พี่ที่เป็นอาจารย์บอกว่า คุณรู้ไหมว่าเด็กสมัยนี้มันไม่ค่อยได้เรื่อง เรียนอะไรๆ มันก็คอยแต่จะถามว่า ตรงไหนจะออกข้อสอบ ถ้าไม่ออกข้อสอบไม่ต้องมาพูดกันให้เสียเวลา แต่รุ่นคุณกับรุ่นผมไม่เป็นอย่างนั้น เราไม่ถามว่าข้อสอบออกตรงไหน (ไม่ใช่ว่ามุ่งมั่นตั้งใจเรียน แต่) เพราะไม่มีอาจารย์ให้ถาม เพื่อนเราเลยเสริมไปว่า ใช่ครับ พวกเราเรียนกันแบบ “เรียนรู้กันตามอัทธยาศัย”

แล้วก็คุยเรื่องหน้าที่การงาน เรื่องสัพเพเหระ แอบนินทาพิธีกรในงาน เพราะมันพูดมากเหลือเกิน แล้วก็ลื่นไหลไปได้เรื่อย โต๊ะเราแอบตีปีกตอนที่ประธานในพิธีขึ้นไปพูดแล้วกัดตาพิธีกรลิงหลับว่า “ปกติคนพูดมากมักไม่ค่อยทำ...” พวกเราก็นึก เฮ้ย... เอาแล้วไง แต่ประธานก็พูดต่อไปว่า “เพราะฉะนั้นควรลงมือทำเสียที ไม่งั้นก็เป็นโสดอยู่อย่างนี้” ท่านหลอกด่าแล้วก็หาทางออกไปได้สวยหรู ยอดเยี่ยมจริงๆ

พองานเลี้ยงเลิกก็มาถ่ายรูปกันหน้างาน เพื่อนเราที่เป็นเจ้าสาวก็เอาช่อดอกไม้มายื่นให้ ตรงนั้นมีเรากับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เราสองคนก็งงๆ ว่าอะไรกัน คือสรุปว่าเพื่อนที่เป็นเจ้าสาวเขาอยากให้เราคนใดคนหนึ่งเอาช่อดอกไม้กลับบ้าน ประมาณว่าอยากให้เป็นคนต่อไป (ที่ภาคเรามีผู้หญิงทั้งหมด ๖ คน แต่งงานไปแล้ว ๒ คนที่แต่งในงานเมื่อคืนเป็นคนที่ ๓ ตอนที่อยู่ทีโต๊ะก็มีคำถามที่ไ้ด้ยินอยู่เป็นประจำว่า เมื่อไหร่จะถึงตาพวกเราซะที คนพวกนี้ชอบถามคำถามโลกแตกอยู่เรื่อย) คงไม่ต้องบอกว่าใครเป็นคนเอาช่อดอกไม้ของเจ้าสาวกลับบ้านไป

เราไม่ค่อยชอบอารมณ์ตอนกลับจากงานเลี้ยงหรือจากการไปเจอเพื่อนมาเยอะๆ เพราะมันจะรู้สึกโหวงๆ ยังไงชอบกล ปกติชีวิตเราก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ซ้ำซากจำเจโดยที่เราไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้ไปเจอคนอื่นๆ มันทำให้เกิดการเปรียบเทียบ แล้วเราก็จะรู้สึกหดหู่เล็กน้อยซะทุกทีไป เราไม่เข้าใจว่าหดหู่เพราะอะไร เราไม่ได้รู้สึกว่าชีิวิตเพื่อนๆ ดีกว่าหรือแย่กว่าเรา แค่รู้สึกว่า มันแตกต่างออกไป แล้วก็หดหู่... สงสัยหดหู่เพราะความแปลกแยก...

Quote
The man who insists upon seeing with perfect clearness before he decides never decides. Accept life, and you must accept regret. -- Henri-Frédéric Amiel