Mandatory Overtime
วันนี้เป็นวันหยุดวิสาขบูชา เลยได้อยู่บ้านนอนตื่นสายซะหนึ่งวัน เป็นวันหยุดที่เราต้องการมากๆ เพราะนอนไม่พอมาพักใหญ่ๆ แล้ว ช่วงนี้ที่ทำงานประกาศให้ทำงานล่วงเวลา เป็น Mandatory Overtime สำหรับทุกคนในแผนก ต้องทำงานวันละ ๑๐ ชั่วโมง (ปกติทำแค่ ๘ ชั่วโมง) บวกกับวันเสาร์เต็มวัน เขาให้ทำอย่างนี้ไปหกอาทิตย์ แล้วก็ให้พักประมาณ ๒-๔ อาทิตย์เพื่อดูสถานการณ์ ถ้ายังมีงานค้างมากก็ต้องกลับมา Mandatory Overtime อีก

ความจริงงานของเรามันไม่เยอะมากขนาดต้องทำโอเวอร์ไทม์หรอก แต่ทอมเขาเป็นโรคประสาท เขาเห็น Projected Man hours ในช่วง ๓ เดือนข้างหน้ามันสูงเกินกว่าจำนวนคนไปเยอะ เขาก็ปริวิตกว่าจะทำกันไม่ทัน แต่เขาไม่เผื่อใจไว้ว่า ที่ Projected -- หรือคาดการณ์ -- เอาไว้ มันอาจจะผิดก็ได้ แล้วที่จริงงานที่มันเยอะๆ มันก็ไปถมอยู่ที่พวกดราฟท์เตอร์ เราคิดว่าน่าจะประกาศ Mandatory Overtime กับเฉพาะดราฟท์เตอร์ แต่ทอมบอกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ก็ควรจะทำทั้งแผนก ประมาณว่าถ้าให้เฉพาะดราฟท์เตอร์มาทำงานก็จะไม่มีใครเช็คงานเขาด้วย

เราบ่นกับพี่ธ.ว่าไม่รู้จะให้เรามาทำงานโอเวอร์ไทม์ทำไม เพราะงานมันล้นอยู่ที่ดราฟท์เตอร์ ถึงชั่วโมงทำงานของวิศวกรเพิ่มขึ้น แต่ก็ไปลดโหลดของดราฟท์เตอร์ไม่ได้ นอกจากจะให้วิศวกรไปช่วยทำงานของดราฟท์เตอร์ พี่ธ.บอกว่าทอมบ่นว่าพวกเราไม่ค่อยได้อ่าน Design Guideline กับ Design Standard กันเลย ช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเขาอัพเดทไปมาก พวกเราไม่ค่อยรู้ว่าเขาแก้ไขอะไรกันไปถึงไหน เวลาออกแบบหรือเช็คงานคนอื่นก็ยังไปทำตาม Standard เก่าๆ อยู่ จนโดนที่เมืองนอกด่ามาอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรทำก็ทำโอเวอร์ไทม์อ่าน Standard ไปก็ได้ เรางี้อยากจะเป็นลม ก็ไอ้การอ่าน Standard พวกนี้มันเป็น Overhead ปกติจะทำกันตอนที่งานน้อยๆ ไม่มีอะไรทำ แต่นี่เขาจ่ายเงินให้เรามานั่งอ่าน Standard เจริญจริงๆ

เราบอก (ขออนุญาต) ทอมว่า เรามาทำงานวันเสาร์ไม่ได้ เพราะมีกิจกรรมอย่างอื่นต้องทำ เขานึกว่าเป็นเรื่องเรียนไอทีที่เราเลิกเรียนไปได้ชาติหนึ่งแล้ว เราบอกว่าไม่ใช่เรื่องเรียนหรอก แต่ก็ไม่ได้บอกเขาไปว่ากิจกรรมอะไร (เรื่องสอนภาษาอังกฤษตะหาก) ทอมก็บอกว่าไม่เป็นไร แถมบอกต่อว่า ถ้าเราอยากจะทำงานวันธรรมดามากกว่า ๑๐ ชั่วโมงก็ได้นะ ประมาณว่าทำชดเชยกับที่ไม่ได้มาวันเสาร์ เราก็พยักหน้าหงึกๆ ส่งๆ ไป แต่ในใจคิดว่า ไม่มีทางซะหรอก เราไม่อยากทำโอเวอร์ไทม์ตั้งแต่แรกแล้วนี่นา

Old Friend

เมื่ออังคารไปดู The Pianist มา เป็นการกระทำที่บ้าคลั่งมาก เพราะไปดูรอบสองทุ่มสี่สิบ กว่าหนังจะเลิกก็ปาเข้าไปห้าทุ่มครึ่ง กลับถึงบ้านเที่ยงคืนพอดี ความจริงเคยตั้งใจไว้ว่าจะดูหนังตอนเย็นรอบดึกสุดไม่เกินหนึ่งทุ่ม เวลาหนังเลิกจะได้ไม่ดึกมากเกินไป ไปเอารถที่ที่จอดรถก็ยังพอมีคนอยู่ แต่หนัง The Pianist เพิ่งเข้าเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาโดยที่เราไม่รู้ตัว เข้าฉายแค่ไม่กี่โรงและไม่ฉายที่โรงหนังแถวๆ บ้านเรา มีที่โรงหนังแถวๆ ที่ทำงานเราก็เลยกะว่าจะไปดูหลังเลิกงาน

ปรากฏว่ารอบหลังเลิกงานมีห้าโมงกว่าๆ กับสองทุ่ม ไอ้เราก็เป็นพวกตื่นเช้าไม่เป็น ต้องทำงานวันละสิบชั่วโมง ยังไงไม่มีทางได้ออกจากออฟฟิศก่อนหนึ่งทุ่มแน่นอน เราต้องทำโอเวอร์ไทม์ยาวไปอีกหลายอาทิตย์ ถ้าเราไม่ดูรอบสองทุ่มก็คงต้องอดดูแน่ เพราะหนังแบบนี้คงไม่ฉายนานเป็นเดือนๆ อย่าง X2 หรือ Matrix เราจำได้เลาๆ ว่าหนังรอบประมาณสองทุ่มสิบก็น่าจะเลิกประมาณซักสี่ทุ่มหน่อยๆ คิดสระตะแล้วก็เลยตัดสินใจไปดู ปรากฏว่ารอบหนังจริงๆ คือสองทุ่มสี่สิบ กว่าจะเริ่มฉายจริงก็สามทุ่มนิดๆ หนังยาวสองชั่วโมงกว่าก็เลิกห้าทุ่มครึ่งกว่าอย่างที่ว่าไป

ก่อนเข้าดูหนังบังเอิญไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราจำหน้าเขาได้แต่จำชื่อเขาไม่ได้ เขาจำชื่อเราได้ก็เข้ามาทัก เขามาดูหนังคนเดียวเหมือนกันก็เลยได้คุยกันก่อนเข้าโรงหนัง ก็แปลกๆ ดีที่ปกติเราจะไม่ค่อยมีอะไรคุยกับคนที่ไม่ค่อยสนิท แต่ก็คุยกับเพื่อนคนนี้ได้เป็นเรื่องเป็นราว การได้คุยกับคนที่อยู่นอกวงโคจรของเราซะบ้างก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศดีเหมือนกัน

ก่อนจะแยกย้ายกันไปดูหนังก็แลกเบอร์มือถือกัน (เขาไปดู The Recruit เราบอกว่าก็สนุกดีนะ เขาบอกว่าพี่ที่ที่ทำงานเขาบอกว่า The Pianist ที่เราจะดูมันเศร้ามาก) เขาบอกว่าบ้านอยู่แถวๆ นั้นและมาดูหนังที่โรงนี้บ่อยๆ เผื่อยังไงอาจจะได้ดูหนังด้วยกันมั่ง เราก็เออๆ คะๆ ไปพอเป็นพิธี เพราะปกติเราไม่ค่อยชอบนัดใครดูหนังซักเท่าไหร่ เพราะมันดูเป็นพิธีการมากเกินไป

การดูหนังของเรามันเป็นกิจกรรมธรรมดาๆ เหมือนการกินข้าวหรือซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเข้าบ้าน คือถึงเวลาก็ไปทำ ไม่ต้องนัดใครมาเป็นเพื่อน ไม่ใช่กิจกรรมทางสังคมที่ต้องไปกับคนหมู่มาก ถ้าเป็นการกินเหล้าก็ว่าไปอย่าง ในความคิดของเราถ้าไปกินเหล้าคนเดียวมันคงดู Desperate พิลึก แต่จะว่าไปในความคิดของคนบางคน การไปดูหนังคนเดียว มันก็ดู Desperate พิลึก เหมือนกันเนอะ อันนี้ต่างคนต่างความคิด แต่เอาเป็นว่าเรามีความสุขดีกับการไปดูหนังคนเดียว