Where have I been?
หายไปนานจนชักฝืดๆ กับการเขียนเล่ารื่องเสียแล้ว ที่หายไปรอบแรกเมื่อตอนปลายเดือนพฤษภาโน่นเป็นเพราะไปประชุมเรื่องงานที่แคนซัสมาสองอาทิตย์ พอกลับจากแคนซัสก็ต้องตะลุยทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะตอนที่ไปประชุมไปโดนเขาอัดมา เขาลิสต์มาเป็นตับว่าเขาอยากจะให้เราทำอะไรบ้าง งานส่วนใหญ่เราพอจะต้องทำอะไรบ้าง แต่ปัญหาคือเขาไม่ได้ให้เราทำเขาจะให้เราเป็นหัวหน้าคอยจ่ายงานให้คนอื่นทำ

เราก็ต้องมาปรับขบวนใหม่ ทั้งการคิดการทำงานของเรา พยายามทำงานเองให้น้อยลง แจกงานออกไปให้คนอื่นทำให้มากขึ้น แล้วก็ปล่อยวาง คอยให้คนอื่นเขาคิดเขาทำกันเองเราคอยไกด์ให้อย่างเดียว ปรากฏว่าเราทำไม่ได้หรอก เราดึงงานกลับมาทำเองเยอะ แทนที่จะทนแรงเสียดทานและปล่อยให้คนที่ต้องทำงานรู้จักตะเกียกตะกายทำงาน สุดท้ายเราก็เครียดเอง ทำงานไม่ทัน โมโหอึดอัดใจที่คนอื่นทำงานไม่ได้ตามที่เราคาดหวังไว้

เราผิดหวังกับการทำงานของตัวเองจนถึงขนาดไม่อยากทำงานอีกต่อไป ท้อนแท้อยากเลิก เพราะเราคิดว่าความคาดหวังของเราจากงานที่เราทำ กับความคาดหวังในตัวเราเองที่ทำงานอาจไม่ตรงกัน และเราไม่มีความสุขกับมัน (เขาอยากให้เราเป็นหัวหน้าทำงานบริหารมากๆ ทำงานเทคนิคน้อยๆ เท่าที่จำเป็น แต่เราไม่ชอบงานบริหาร เพราะเราไม่มีทักษะ เราดีลกับคนไม่ค่อยเป็น ไม่เด็ดขาด และจัดการไม่เป็น) และมันก็ไม่มีทางเลือกให้เรามาก อายุงานขนาดเรา ถ้าไม่ขึ้นไปทำงานบริหารเขาก็ไม่อยากจะเสียเงินเดือนจ้างขนาดนี้

เราคิดว่าทำต่อไปแบบนี้สุขภาพจิตเสีย ไม่มีความสุข ไม่มีชีวิต (ทำงานเจ็ดโมงถึงสามสี่ทุ่ม คุณภาพชีวิตตกต่ำสุดๆ (หนังเหนิงไม่ต้องได้ดูกันเป็นเดือนๆ) ใจคิดจะลาออกแล้ว แต่ก็คิดอีกทางหนึ่งว่าไม่อยากลาออกเพราะมันเหมือนกับเรายอมแพ้ เหมือนกับเราล้มเหลว (เราเป็นคนเรียนเก่งมาตลอด ไม่ค่อยมีอะไรที่เราทำไม่ได้) โชคดีที่ตอนที่อารมณ์อยากลาออกพีคสุดๆ (ตอนนั้นวางแผนไปถึงว่า ถ้าไม่ทำงานวิศวกรต่อไปจ ะไปทำอะไรดี) ทอมไม่อยู่เมืองไทย เขาไปอเมริกาสามอาทิตย์ ไม่งั้นคงมีได้เข้าไปยื่นจดหมายลาออกกันมั่งแหละ

ความจริงปัญหานี้คงไม่ได้ชับซ้อนหรือเลวร้ายอย่างที่เราคิดหรอก แต่จังหวะที่เข้าตาจน มันมักมองอะไรไม่ค่อยเห็น รู้สึกแต่ว่าไม่มีทาง แต่พอทนๆ ไปอีกพัก มันก็คลี่คลาย ตอนนี้เรายังมีปัญหากับการทำงานอยู่ แต่ความรู้สึกมันไม่ได้เกินทนอีกต่อไป คงเป็นเพราะชินกับความรู้สึกแย่ๆ ทำใจได้กับสิ่งที่มันไม่เพอร์เฟ็คต์ เราคิดเอาเองว่า เราก็ทำไปเท่าที่เราทำได้ ทำเท่าที่เราคิดว่ามันเหมาะสม ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ดีอย่างที่เราคิด ก็ต้องทำใจกับมัน แต่มันไม่ดีอย่างที่นายหรือบริษัทเขาคิด เขาคาดหวังอยากเห็น เขาก็คงบอกให้เรารู้เอง (อาจจะเป็นในรูปของโบนัสที่น้อยลง หรือโบนัสก้อนโตพร้อมกับซองขาว)