Where have I been? 2
ต่อภาค ๒ ว่าเราหายไปไหนมา ต่อจากที่เราวุ่นๆ กับงาน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ป่วยอีก เป็นคออักเสบหรือหลอดลมอักเสบนี่แหละ คาดว่าติดมาจากน้องที่ทำงาน ตอนบ่ายวันอังคารที่แล้วเขาไข้ขึ้นไม่สบาย โดนพี่ๆ ไล่ให้กลับบ้าน แต่ก็ดันทนอยู่จนเย็น วันพุธเขาโทรมาบอกว่ามาทำงานไม่ได้ ไปโรงพยาบาลไข้ขึ้นสูงหมอให้นอนดูอาการก่อน ตัวเราเริ่มไอตั้งแต่คืนวันอังคารเหมือนกัน ตอนเช้าไปทำงานก็ไอๆๆๆ อีก ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะแพ้ฝุ่นผ้านวม (คิดว่าต้องเอาไปผึ่งแดดแต่ยังไม่ได้ทำ เพราะตอนนี้ฝนตกชุกทุกวัน)

ตอนหลังไอมากๆ เข้าก็เแน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน หลังกินข้าวเที่ยงเลยแวบไปหาหมอที่โรงพยาบาลแถวที่ทำงาน โชคร้ายเจออีตาหมอคนที่บอกว่าเราต้องผ่าตัดผนังกั้นโพรงจมูกอีกจนได้ เขาตรวจเราประมาณหนึ่งนาที ไม่ยอมวิเคราะห์อะไรมากเพราะปักใจเชื่อไปแล้วว่าที่เราเป็นแบบนี้ (ไอบ่อยๆ คออักเสบ) เพราะผนังกั้นโพรงจมูกคด วิธีเดียวที่จะรักษาได้คือ ผ่าตัด

เขาฟังการหายใจเราแล้วบอกว่า ใจสั่นหน่อยๆ ด้วย นะ แต่ไม่ได้ว่าอะไร สั่งยาแก้ไอ ลดน้ำมูก ให้เรา แล้วก็เน้นว่าให้หาเวลามาผ่าตัดได้แล้ว ตอนเรารอรับยา เราก็ยังไออยู่ จนต้องถามเภสัชกรว่ามียาอมแก้ไอให้เราหรือเปล่า เพราะเราไอมากจนทนไม่ไหว หมอไม่ได้สั่งยาแก้ไอให้เรา เภสัชกรต้องโทรไปถามหมอว่าจะขอเพิ่มยาอมให้

เรากลับไปทำงาน อาการไอยังเยอะเหมือนเดิม อาการแน่นหน้าอกเริ่มถี่ขึ้น และเริ่มรู้สึกเพลียๆ เลยกลับบ้านตั้งแต่ห้าโมงเย็น (ปกติกลับสองทุ่มอย่างต่ำ) กินข้าวกินยาแล้วก็เข้านอนตั้งแต่ทุ่มหนึ่ง แต่นอนไม่หลับเพราะไข้ขึ้นและปวดเมื่อยตัวไปหมด กินพาราเซ็ตตามอลอย่างเข้มข้นที่ซื้อมาจากอเมริกาไป ๒ เม็ด แต่ไม่ช่วยอะไร นอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน เราไม่ค่อยไอมากเท่าตอนแรกแล้ว แต่ว่าคอแสบมากๆ กลืนน้ำลายก็เจ็บ แล้วไอแต่ละทีก็จะทรมานมาก

ตอนเช้าไข้ก็ยังไม่ลด เราเลยโทรไปลางาน (เรารู้ว่ามีงานเร่ง เพราะมีอีเมลเก่าที่เราอ่านค้างไว้ แต่ไม่สนใจแล้ว งานไม่เสร็จก็ช่างมัน ช่วยไม่ได้) พี่ธ. บอกว่า ให้เราไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์บอกชื่อหมอมาให้เสร็จสรรพ เราโทรเรียกให้เก๋มาพาเราไปหาหมอ ตอนนั่งรถไปก็รู้สึกเพลียมากๆ ไปถึงโรงพยาบาล เราเดินก็ไปทำบัตรเอง แต่พอทำบัตรเสร็จเราบอกเก๋ว่าเราเดินไม่ไหวแล้ว ก็เลยขอรถเข็นมานั่งให้คนเข็นไปหาหมอ กว่าจะได้เจอหมอที่พี่ธ.แนะนำมาก็รอนานมาก พยาบาลเห็นเราขดๆ ทำท่าไม่ดีก็เอาผ้าห่มมาให้ เรารอจนแทบหลับไปคารถเข็นเลย เพราะทั้งรอนานและทั้งเป็นไข้

พอพบหมอเราก็ตะลึง เพราะคุณหมอผู้หญิงแต่งตัวไฮโซมาก ใส่ชุดผ้าไหมราวกับจะไปงานเลี้ยงสังคม มีผ้าคลุมไหล่เข้าชุดสวยงาม จะว่าไปแล้วก็คงเป็นไปตามสิ่งแวดล้อม ใครที่เคยไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มาแล้วก็คงพอนึกภาพออกว่า มันดูหรูหราสะอาดสะอ้านไม่เหมือนโรงพยาบาล (ขนาดที่เก๋เผลอหลุดปากออกมาว่า เออ.. โรงแรมนี้ เอ้ย โรงพยาบาลนี้มันดีอย่างที่กุ้ง (เพื่อนเก๋) ว่าจริงๆ แฮะ คือมันสะอาดสะอ้านดูเหมือนโรงแรมมากว่าโรงพยาบาลอ่ะนะ)

หายตะลึงกับการแต่งตัวของหมอ ก็งงๆ กับท่าทีของหมออีก หมอดูหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วถามว่า “นี่นิจวรรณใช่ไหม นิจวรรณเป็นอะไรมา” พอเล่าอาการเสร็จ หมอก็ตรวจคอ ฟังการเต้นหัวใจ ฯลฯ แล้วถามว่า “นิจวรรณปกติสุขภาพแเข็งแรงดีหรือเปล่า มีโรคประจำตัวหรือเปล่า” เพราะอาการที่เป็นนี้ ดูท่าแล้วว่าจะเป็นการติดเชื้อในคอและหลอดลม ไม่ใช่อาการปอดอักเสบ ถ้าไม่มีโรคประจำตัวอย่างอื่น หมอก็จะให้ยาไปกินรักษาตามอาการไป

เราก็ทนไม่ไหวเพราะพิษไข้ เลยถามว่า งั้นฉีดยาให้ได้ไหม หมอถามว่าที่อยากให้ฉีดยาเพราะอยากให้หายเร็วๆ ใช่ไหม หมอบอกว่าฉีดยาก็ใช่ว่าจะหายเร็ว ถ้าเชื้อที่ติดเป็นเชื้อไวรัส ฉีดยาก็ไม่หายเพราะยาฆ่าเชื้อไวรัสไม่มี ต้องให้ร่างกายแข็งแรงเอาชนะเชื้อโรคไปเอง ที่จริงหมออยากให้กลับบ้านไปก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยมาตรวจเพิ่ม แต่เราทำท่าไม่ไหว หมอก็เลยบอกว่างั้นตรวจเลือดกับเอ็กซเรย์ปอดเลยแล้วกัน จะได้มั่นใจไปเลย ไม่ต้องรอดูอาการ เราก็ต้องไปรอตรวจเลือดรอเอ็กซเรย์ปอดอีก รอนานมากๆ โชคดีอยู่หน่อยที่เราไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนเอง มีคนเข็นรถเข็นพาไปตลอด

เรารอผลเลือดกับผลเอ็กซเรย์จนเกือบเที่ยง ยังดีที่เขาหาห้องว่างๆ ให้เราไปนอนพักได้งีบหนึ่ง ได้ผลตรวจมาก็ไปคุยกับหมออีกรอบหนึ่ง (หมอดูผลจากหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกแล้ว ทันสมัยซะเหลือเกินโรงพยาบาลนี้) ผลเอ็กซเรย์บอกว่าปอดเราปกติ (ปอดไม่แหก.. ขอบอก!!) ปอดไม่ติดเชื้อ กระดูกสันหลังคดเล็กน้อย อันนี้รู้ตั้งกะปีที่แล้ว ตอนไปตรวจสุขภาพประจำปีแล้ว หมอคนที่แล้วถามว่าแม่เราทำเราตกพื้นตอนเด็กๆ หรือเปล่า กระดูกสันหลังถึงเบี้ยว แม่บอกว่าเปล่า เราก็เชื่อแม่ แต่ที่เราอ่านหนังสือ กับที่คุณหมอไฮโซบอกว่าบางคนกระดูกสันหลังก็เบี้ยวมาตั้งกะเกิด ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย (ต้องไปรักษากับหมอที่เรียกว่าไคโรแพรคติกหรือไงเนี่ยหละ) เราคิดๆ ว่า ในร่างกายเรามีแต่อะไรบูดๆ เบี้ยวๆ เต็มไปหมด เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมองอะไรขวางโลกไปหมด

ผลเลือดแสดงว่าเราติดเชื้อไวรัส เพราะฉะนั้นหมอจะไม่ฉีดยาให้ แต่เพื่อความไม่ประมาท หมอก็จ่ายยาแก้อักเสบมาให้เราด้วย พร้อมกับยาอื่นๆ ที่เป็นยารักษาตามอาการ (พาราแก้ไข้ ยาน้ำแก้ไอ ยาเม็ดลดน้ำมูก ฯลฯ)

พอหมอว่าเรื่องอาการไอจบก็บอกว่า มีเรื่องจะบอก พอดีตรวจเจอโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นผลเลือดเรามีฮีโมโกลบินต่ำกว่าปกติ (ปกติเขาประมาณ 12.5-14 mg ของเราได้แค่ 10 กว่าๆ) อันนี้เราเคยรู้มาแล้ว เพราะสมัยที่อยู่ที่แคนซัส ตอนเราไปบริจาคเลือดเขาก็วัดค่าออกมาสเกลแบบเดียวกันนี้ แล้วเขาก็ไม่รับบริจาคเลือดเรา เขาบอกว่าฮีโมโกลบินต่ำไป (แต่เพื่อนฝรั่งปากไม่ค่อยดีมันบอกว่า เลือดเราไม่ดี เขาเลยไม่อยากได้) หมอบอกต่อว่า นอกจากนี้แล้ว ขนาดเม็ดเลือดแดงเรายังเล็กกว่าปกติด้วย อาการแบบนี้เขาเรียกว่า โลหิตจาง ซึ่งมีได้ ๒ สาเหตุ คือ ขาดธาตุเหล็ก (ไม่อันตรายมาก กินธาตุเหล็กเยอะๆ ก็อาจจะหาย) หรือ เป็นโรค ธาลัสซีเมีย (สะกดถูกไหมเนี่ย) เราเคยได้ยินชื่อ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโรคนี้มันอันตรายยังไง

เราบอกว่าเราก็เคยรู้เหมือนกันว่าฮีโมโกลบินต่ำ เพราะเคยตรวจเจอตอนบริจาคเลือด เลยโดนหมอว่าว่าดูซิบริจาคเลือดซะจนตัวเองจะเป็นโรคโลหิตจางแล้ว สงสัยธาตุเหล็กต่ำก็เพราะว่าบริจาคไปมันก็ต่ำไปเรื่อย ทีหลังไม่ต้องไปบริจาคแล้วหละ หมอบอกว่าหมอขอตรวจเลือดซ้ำอีกรอบดีกว่า เพราะถ้าไม่ใช่แค่ขาดธาตุเหล็ก แต่เป็นธาลัสซีเมียจริงๆ ก็ต้องรักษา (รักษายังไงก็ยังไม่ได้บอก และเราก็ไม่ได้ถามมาก เพราะยังไม่ได้เป็น) ก่อนกลับบ้านเราก็เลยต้องไปให้เขาเจาะเลือดอีกรอบ เพราะเลือดที่เจาะไปคราวแรกไม่พอ เจาะเลือดเสร็จก็มารอจ่ายตังค์รอรับยา เราก็หลับไปรอไป พอได้ยามาก็ไปกินข้าวที่ร้านอาหาร เรากินพอให้หายหิวแล้วก็กินยา

เก๋พาเรากลับมาส่งที่คอนโด แล้วแม่ก็มารับเรากลับไปบ้านที่แม่กลอง เราก็นอนตลอด ตั้งแต่วันพฤหัสที่ไปหาหมอ วันศุกร์ (โทรไปลางานอีกรอบ) วันเสาร์ สามวันติดๆ ที่กิจกรรมของเรามี ๓ อย่างคือ กินข้าว กินยา นอน จนวันอาทิตย์ถึงได้อาการดีขึ้นพอที่ลุกขึ้นมานั่ง เดินไปเดินมา อ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวีบ้าง แต่กิจกรรรมหลักก็คือการนอนอยู่ดี วันจันทร์เป็นวันหยุดเราได้นอนพักอีกวันหนึ่ง พอตอนเย็นเราก็ให้คนที่บ้านมาส่งที่กรุงเทพฯ ก็เกรงใจเขาเหมือนกัน เพราะขับรถเข้ามาค่อนข้างติด คนกลับจากไปเที่ยวลองวีคเอนด์ต่างจังหวัดกันเยอะ

ความจริงที่บ้านเขายังอยากให้เราลางานต่ออีกอาทิตย์หนึ่ง แต่เราเห็นว่างานค้างอยู่ตรึม (ทะเลาะกันเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่าน่าจะห่วงตัวเองมากกว่าห่วงงาน พาลจะให้เราลาออกจากงานไปเลยถ้าลาพักงานแล้วโดนนายว่า แต่เราไม่ได้เถียงอะไรต่อ แต่ไม่ทำตาม) ที่จริงไม่มีใครว่าอะไรถ้าเราจะลาต่อ แต่เราคิดว่าเราทำไหว เราก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ไม่เพลียมาก แค่เหมือนเป็นหวัดหน่อยๆ เราตั้งใจว่าอาทิตย์นี้จะไม่ทำงานดึก จะอยู่แค่ห้าโมง เคลียร์งานเท่าที่จำเป็น แต่ก็อดอยู่ดึกไม่ได้ กลับบ้านทุ่มครึ่งทั้งวันอังคารและวันพุธ แต่ที่ดีกว่าปกติคือ กลับบ้านปุ๊บกินข้าว ทำอะไรนิดหน่อยแล้วก็เข้านอนไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง ได้นอนเยอะกว่าปกติ เพราะตัดกิจกรรมเปลืองเวลาอย่างการใช้อินเตอร์เน็ตออกไป ได้พักมากก็ไม่เหนื่อยมาก

วันแรกที่เรามาทำงาน (วันอังคาร) น้องคนที่ป่วยและคาดว่าเป็นคนที่นำพาเชื้อมาติดเราก็เพิ่งมาทำงานเหมือนกัน ท่าทางอิดโรยแต่ดูดีกว่าเราเล็กน้อย บอกว่านอนอยู่โรงพยาบาลถึงวันศุกร์ ตอนนี้ในออฟฟิศก็ดูจะมีเชื้อไวรัสล่องลอยในอากาศเต็มไปหมด มีคนไอกันค็อกๆ แค็กๆ ใครที่ร่างกายไม่แข็งแรงพอก็ติดหวัดไปตามระเบียบ มีน้องที่เป็นดราฟท์ของโยธามาบ่นกับเราว่าเราเอาเชื้อมาปล่อยเขาเลยติดไปด้วย เขาไปหาหมอมา หมอจับฉีดยาด้วย เราไม่มีแรงจะเถียงว่าไม่ใช่เราเฟ้ย เพราะของเราเป็นเชื้อไวรัสฉีดยาไปก็ไม่หายหรอก เฮ้อ...

ตอนนี้ยาที่หมอไฮโซให้มาหมดไปแล้วตั้งแต่วันจันทร์ (พูดว่าหมอไฮโซ โรงพยาบาลหรู นึกถึงที่ก๊อใหญ่พี่ชายเราเขาพูด เขาเป็นจบทันตแพทย์มา เขาก็พอจะรู้เรื่องยา เขาดูยาที่ได้จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เขาบอกว่าที่นี่จ่ายแต่ยานอกทั้งนั้นเลย ถ้าไปหาหมอที่นี่ประจำแล้วไปหาหมอที่อื่น ท่าทางจะกินยาไม่หาย เพราะจ่ายยานอกให้จนชินแล้ว กินยาธรรมดาๆ ไม่ได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี) เราก็กินยาที่หมอผ่าตัดจมูกให้มาต่ออีก ก็คิดว่าอาทิตย์หน้าคงหายเป็นปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ (ตอนนี้ประมาณแปดสิบกว่าๆ)

วันเสาร์นี้เราว่าจะไปฟังผลตรวจเลือดธาลัสซีเมีย เมื่อวานนี้เราโทรไปถามผลเพราะขี้เกียจไปโรงพยาบาล คิดว่าถ้าเป็นแค่ขาดธาตุเหล็กก็คงไม่เป็นไร เราก็มีธาตุเหล็กที่ได้จากตอนไปบริจาคเลือดตึมเลย (ตอนแรกว่าจะเอาไปให้พี่ปุ๊กกิน แต่ตอนนี้ไม่ให้แล้วเพราะนิจวรรณก็ต้องการเหมือนกัน) แต่คุยแล้วหมอไม่ยอม บอกว่าให้มาเจอหมอดีกว่า มีเรื่องจะอธิบายเยอะ เดี๋ยววันเสาร์ก็คงได้รู้กันว่าจะต้องทำยังไงต่อไป