Cambodia 2003 - Part I
การไปเที่ยวเขมร (เสียมเรียบ) คราวนี้เป็น "ภาระกิจ" มากกว่า "ความบันเทิง" เพราะเราเคยไปเขมรมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน เก๋เป็นตัวตั้งตัวตีเราเป็นตัวตาม ส่วนคราวนี้เหตุมันเกิดจากแม่เป็นแฟนรายการวิทยุของคุณวีระ ช่วงหลังๆ นี้คุณวีระก็มักจะจัดรายการทัวร์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอยู่เนืองๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม่อยากจะไปทัวร์กับเขาด้วย แต่ชวนเตี่ยทีไรเตี่ยก็อิดๆ เอื้อนๆ เพราะเตี่ยไม่ชอบคุณวีระ(เอามากๆ) ไอ้เราก็ไม่ค่อยว่างเสียที เพิ่งมาว่างเอาคราวนี้ การไปกับทัวร์ทำให้เราตัดสินใจไม่ยาก เพราะไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แค่เอาตัวไปก็พอแล้ว

ทัวร์นี้มีระยะเวลา 3 วัน ออกเดินทางศุกร์ที่ 29 กลับวันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม ทั้งกลุ่มมีลูกทัวร์ 43 คน มีไกด์พิเศษ 2 ท่านคือคุณวีระ กับอาจารย์สุเนตร มีไกด์เขมร 3 คน (สาลี่, วรรณา, สิทธา) กับเจ้าหน้าที่คนไทย 2 คน (มีน กับ วอย) เดินทางไปกลับด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ในเสียมเรียบเดินทางด้วยรถตู้

วันแรก - พนมกุเลน กบาลสะเปียน

ออกจากกรุงเทพประมาณ 8 โมงกว่า กัปตันที่ขับเครื่องบินเป็นผู้หญิงหละ ตอนเขาประกาศว่านี่กัปตันพูด เสียงดังฟังชัดทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ (ไม่ค่อยเหมือนกัปตันไทยผู้ชายอื่นๆ ที่ชอบประกาศอะไรไม่รู้เรื่อง) เราฟังแล้วก็เฮ้ย.. แจ๋วหวะ เป็นกัปตันก็เก่งแล้ว แต่นี่พูดภาษาอังกฤษเก่งอีก ชื่นชมๆ ตอนลงจากเครื่องก็เลยถามแอร์ว่ากัปตันชื่ออะไร เขาบอกว่าชื่อกัญชลา

ไปถึงเสียมเรียบทัวร์เขาจัดการเรื่องผ่านเข้าเมืองให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องเข้าแถวสแตมป์พาสปอร์ต สนามบินเสียมเรียบเขาเพิ่งทำใหม่เป็นอีกอาคารหนึ่งที่อยู่ติดๆ กับอาคารสนามบินเก่า สะอาดสะอ้านสวยงาม เพิ่งเปิดให้ใช้เมื่อเดือนธันวาที่ผ่านมานี่เอง (ตอนที่เราไปกับเก๋เมื่อคราวโน้นเป็นสนามบินเก่า โทรมเชียว) ทัวร์มีรถตู้มารับ 3 คันเราอยู่คันที่หนึ่ง ไกด์ประจำรถคือสาลี่ พูดไทยไม่ชัดแต่ความเข้าใจภาษาไทยเต็มร้อย (ขนาดสามารถปล่อยมุขเป็นภาษาไทยได้อ่ะนะ) เจ้าหน้าที่ไทยคือคุณมีน

ออกจากสนามบินแล้วก็เริ่มไปเที่ยวทันที นั่งรถไปประมาณชั่วโมงหนึ่งไปหยุดที่แรกคือ... ห้องน้ำ เข้าห้องน้ำเสร็จสรรพก็ขึ้นเทือกเขา "พนมกุเลน" ไปดูต้นกำเนิดแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ "พนม" คือ ภูเขา "กุเลน" คือ ลิ้นจี่ เทือกเขานี้มีต้นลิ้นจี่ป่าขึ้นเยอะแยะ เลยได้ชื่อแบบนั้น บนเทือกเขาเป็นต้นน้ำของแม่น้ำลำธารสายต่างๆ ที่ไหลไปลงทะเลสาบเขมร คนเขมรสมัยก่อนเขามีความเชื่อว่าถ้าน้ำมีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนก็อยู่ดีมีสุข ถ้าคนไทยทำน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะเอาไปให้พระสงฆ์ปลุกเสก แต่คนเขมรทำให้แม่น้ำทั้งสายศักดิ์สิทธิ์โดยไปสลักรูปศิวลึงค์และพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ไว้ที่หินที่เป็นท้องของลำธารที่อยู่บนเทือกเขา พอน้ำไหลผ่านรูปสลักพวกนี้ก็เชื่อว่าได้รับการปลุกเสกไปในตัว สมัยก่อนเขาจะมีพิธีอาบน้ำชำระบาปและเพื่อเป็นสิริมงคลกันด้วย นอกจากตามลำธารแล้วเขาก็ยังมีการสลักไว้ที่ตามน้ำตกด้วย

หลังจากไปดูรูปสลักที่ท้องน้ำและน้ำตกแล้ว ที่ต่อไปคือ "กบาลสะเปียน" แต่ก่อนไปก็แวะกินข้าวกลางวันกันก่อน ร้านอาหารที่ไปกินเป็นร้านเปิดใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น ท่าทางไม่น่าจะอยู่ได้ เพราะถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวไทยไปก็ดูไม่ออกว่าเขาจะขายใคร พวกนักท่องเที่ยวที่เป็นฝรั่งส่วนใหญ่เป็นแบ็คแพ็กเกอร์ก็ไม่น่าจะใช้บริการร้านอาหารแบบนี้ ทัวร์เขาเตรียมกุ้งจากเมืองไทยไปให้ร้านอาหารปรุงมาเสิร์ฟด้วย นอกจากกุ้งเผาแล้วก็มีต้มยำ ต้มโคล้ง หมูย่าง ไก่ผัดอะไรซักอย่างแบบเขมร อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ รสชาติไม่ได้เด็ดดวงแต่ก็จัดว่าดีมากๆ ในมาตรฐานเขมร

กินข้าวเสร็จยังไม่ทันได้พักพุง เขาก็เกณฑ์ไปขึ้นรถ ปรากฏว่านั่งได้แป๊บเดียวก็ถึงจุดที่จะต้องลงไปเดินขึ้นกบาลสะเปียน "กบาล" ก็คือ หัว "สะเปียน" ก็คือ สะพาน กบาลสะเปียน ก็คือ หัวสะพาน นั่นเอง (พอพูดถึงกบาลสะเปียน ไกด์เขมรสอนภาษาเขมรให้พวกเราว่า คนเขมรเวลาบอกให้ ระวัง จะบอกว่า ประหยัด เวลาเดินลอดที่เตี้ยๆ เขาจะบอกว่า "ประหยัดกบาลๆ" คือระวังหัวชน ไม่รู้ว่าจริงหรือมุข)

จุดที่เขาจะพาไปดูต้องเดินขึ้นเขาประมาณ 2 กิโล เส้นทางบางช่วงก็น้องๆ ภูกระดึงนี่เอง ตอนแรกเรากับแม่ก็ออกเดินไปพร้อมๆ กับคนอื่นๆ เขา แต่พอซักพักสปีดเริ่มตกแวะพักตามรายทางจนรั้งท้ายขบวน จะยอมแพ้อยู่หลายรอบเพราะกลัวจะเสียเวลาคนอื่น แต่ทุกครั้งที่บอกว่าจะหยุดรอให้คนอื่นกลับมาไกด์เขมรก็จะบอก(หลอก)ว่า อีกเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว สุดท้ายก็เดิน(ปีน)ขึ้นไปจนถึง เหงื่อออกท่วมตัวไปหมด คนอื่นๆ เขามาถึงก่อนเรากับแม่พักหนึ่ง แต่ดูสภาพแล้วก็เหงื่อตกกีบเหมือนกันหมด

ที่ที่เขาพามาดูเป็นหน้าผาเล็กๆ มีรูปสลักพระศิวะพระนารายณ์ ฯลฯ (ที่ ฯลฯ เอาไว้เพราะตอนที่ไกด์อธิบายเราก็ฟังมั่งไม่ฟังมั่ง เหนื่อยจะตายอยู่แล้วหงะ) แต่ที่แย่คือมีคนแอบมาขโมยสกัดรูปสลักไปรูปหนึ่งด้วย คุณวีระคาดว่าช่วงที่ไทยมีปัญหากับเขมรคนไม่ค่อยไปเที่ยว ขโมยเห็นปลอดคนก็เลยมาขโมยไป

ที่เรียกว่า หัวสะพาน ก็เพราะว่าพอเดินถัดจากหน้าผาเดินลัดเลาะไปตามทางน้ำไหลซักหน่อยแล้วมองขึ้นมาก็จะเห็นว่าก้อนหินมันเป็นเหมือนสะพานข้าวทางน้ำไหล เขาพาพวกเราเดินตามทางน้ำไปเรื่อยๆ ซึ่งก็มีรูปสลักตามก้อนหินให้ดู พอไปถึงน้ำตกก็ให้หยุดพักเหนื่อยให้ล้างหน้าล้างตากัน (แต่ตามเรื่องเล่าสมัยก่อนเป็นที่ที่ชาวเขมรเขามาอาบน้ำเพื่อความเป็นสิริมงคล) เจ้าหน้าที่ของทัวร์เขามีบริการน้ำดื่ม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (หลากหลายพอๆ กับมีเซเว่นมาเปิด) ผ้าเย็น เขาให้ลูกหาบหาบของขึ้นมาตั้งรอซึ่งเราถือว่าเป็นการจัดการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

หลังจากได้น้ำดื่มเย็นเจี๊ยบจากเซเว่นเคลื่อนที่แล้วตอนเดินลงเรากับแม่ก็เลยไม่ได้ทิ้งห่างจากคนอื่นๆ มากนักแต่ก็ยังถึงที่รถเป็นคนสุดท้ายอยู่ดี ระหว่างทางที่เดินลงคุณมีนก็ชวนคุยบอกว่าคราวนี้ดีมากๆ เลยทุกคนเดินขึ้นถึงกบาลสะเปียนกันหมด คราวที่แล้วมีคุณลุงอายุเจ็ดสิบกว่านถอดใจไปซะก่อน แล้วก็พูดว่าทำทัวร์นี่ไม่รู้เป็นไง มันต้องมีเรื่องให้ตกใจอยู่เรื่อย อย่างตอนไปดำน้ำดูปะการังก็มีปัญหาว่าลูกทัวร์จะสำลักน้ำตาย เราฟังแล้วก็งงๆ ว่าพูดขึ้นมาทำไม แบบว่าจะให้เป็นลางหรือไง แต่ไม่อยากจะอะไรมากก็เลยปล่อยผ่านๆ ไป

วันแรกหมดการเที่ยวแค่นี้ รถก็ไปส่งเราที่โรงแรมโซฟิเทล เป็นโรงแรมห้าดาวจริงๆ ก่อนขึ้นห้องมี Welcome Drink กับผ้าเย็นให้เช็ดหน้า ขึ้นไปที่ห้องกระเป๋าไปนอนรออยู่แล้ว เราสำรวจห้องคร่าวๆ ห้องน้ำสวยหรูอุปกรณ์ครบครัน (มีไดร์เป่าผม แชมพูสบู่ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัวหลายผืน ในตู้เสื้อผ้ามีหมอนหลายใบ มีเสื้อคลุมอาบน้ำให้ 2 ตัวด้วย) แถมตอนเราออกไปกินข้าวมีพนักงานมาเอาผ้าคลุมเตียงออก แล้วก็เอาดอกไม้มาวางบนหมอนให้เสียด้วย

เจ้าหน้าที่ทัวร์เขาให้เวลาล้างหน้าล้างตา รื้อของในกระเป๋าประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วให้ไปเจอกันที่ล็อบบี้ เขาพาไปกินอาหารบุฟเฟต์ที่ร้านอาหารเจ้าพระยา (เป็นร้านอาหารไทย) แต่มีเมนูนานาชาติ มีไวน์เขมรมาเสิร์ฟให้ชิมด้วย ระหว่างกินก็มีการแสดงให้ดูด้วย เราดูแล้วคิดเลยว่าการแสดงพวกนี้ต้องเป็นไฟต์บังคับ เพราะคราวที่แล้วที่เรามาเที่ยวกับเก๋ก็มีการแสดงเหมือนแบบนี้เดี๊ยะ คือ ชุดแรกเป็นฟ้อนกะลา (เราตั้งชื่อให้เอง) ชุดที่สองเป็นตอนหนึ่งของรามเกียรติ (จำชื่อตอนไม่ได้) ชุดที่สามเป็นการแสดงเกี่ยวกับการจับปลาของหนุ่มสาว (มีข้องจับปลากับกระบุงเป็นอุปกรณ์ประกอบ) ชุดที่สี่ไฮไลต์เป็นการร่ายรำของนางอัปสรา เวลาผ่านไปหลายปีการแสดงก็ยังเหมือนเดิม

กินข้าวเสร็จดูการแสดงจบก็กลับโรงแรม เราดูทีวีแป๊บหนึ่งแล้วก็เข้านอน ในทีวีของเขานอกจากรายการเขมรแล้ว เขามีทีวีไทยช่อง 3, 5, 7, 9 มีช่องกีฬาช่องหนังซึ่งรับมาจากเคเบิ้ลทีวีของไทย (ที่กล้าบอกแบบนี้ เพราะเห็นมี Subtitle เป็นภาษาไทยเหมือนเคเบิ้ลทีวีที่บ้านเด๊ะเลย) จบวันแรกแบบเหนื่อยๆ