He is gone... who is next?
วันนี้มาทำงานพี่ธ.รีบบอกเราว่า “จอน ไปแล้วนะ” เราไม่อยากจะเชื่อเลย จอนเป็นหัวหน้าทีมเครื่องกลของโปรเจ็คต์ที่เราทำ เราไม่ค่อยชอบการทำงานร่วมกับเขา เพราะเขาทำให้เรารู้สึก intimidated รู้สึกว่าเราไม่เก่ง ทำงานไม่ได้ ไม่อยากทำงาน ในระหว่างที่ทำงานให้เขาเราไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือจากเขา ถามอะไรไปก็ไม่ค่อยบอก หรือบอกมาก็ไม่รู้เรื่อง แล้วเราก็ไม่อยากจะถามต่อ ไม่มีอารมณ์ (ทั้งๆ ที่ปกติเราเป็นคนที่ถามแหลก)

เท่าที่ผ่านมาก็ทำงานไปด้วยความรู้สึกทนทำ แต่หลังๆ เราได้ยินคนบ่นเรื่องจอนมากขึ้นๆ จนท้ายที่สุดอาทิตย์ที่แล้วทอมมาถามเราเรื่องงาน เขาบอกทำนองว่า ทางเมืองนอกทำงานไม่ค่อยดีเลย เราก็บอกว่าเราก็พยายามเท่าที่เราทำได้นะ แต่คนที่ตัดสินใจก็คือทางเมืองนอก (จอน) ทอมบอกว่า เขารู้ว่าเราพยายามแล้ว แล้วก็บอกว่า สงสัยดีไม่ดีโปรเจ็คต์เราจะได้หัวหน้าเครื่องกลคนใหม่ เราฟังแล้วก็ขำปนเศร้า

บอกทอมว่า ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะเป็นเราที่แย่เอง แถมอาจจะเป็น Bangkok Office ที่แย่เอง เพราะโปรเจ็คต์ก่อนหน้านี้ ทำงานกับออฟฟิศที่ Raleigh ก็ทะเลาะกับเขา ต่างฝ่ายต่างหาว่าคนอื่นทำงานไม่ดี ออฟฟิศเรามีคนที่แคนซัสช่วยแบ็คอัพ ก็เลยรอดตัวไป ส่วนหัวหน้าเครื่องกลทาง Raleigh ก็เกือบๆ จะโดนเปลี่ยนตัวเหมือนกัน แต่ดีว่าเขาค่อนข้างใหญ่ในออฟฟิศนั้นก็เลยใช้การเจรจาประนีประนอม

โปรเจ็คต์ของเรานี่ยังไม่มีเรื่องกันระหว่าง 2 ออฟฟิศ มีแต่บ่นๆ กันเรื่องคุณภาพของงาน แล้วมันก็มาจบเอาตรงที่หัวหน้าเครื่องกลคนเก่าถูก assign ไปทำอย่างอื่น (ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไร พี่ธ.บอกว่าอาทิตย์หน้าให้ลองเช็คอีเมล์ดู ดีไม่ดีพีจอนชิงลาออกไปก่อน เพราะอยู่ต่อก็คงไม่รุ่ง) แล้วให้ไบรอันซึ่งเป็นผู้ช่วยจอนมาแทน ซึ่งเราเห็นว่าเหมาะสม เพราะมีความรู้มีประสบการณ์เยอะกว่า ก็ต้องดูกันต่อไปว่าเราทำงานกับไบรอันแล้วจะเป็นยังไง

เราคิดว่าการทำงานนี้มันบางทีมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เราจะรู้สึกไม่อยากทำงานกับใครซักคน ก็มันศรศิลป์ไม่กินกัน ทำอะไรก็เป็นไม่ชอบไม่ถูกใจไม่เต็มใจไปซะหมด ในขณะที่เรารู้สึกว่าจอนกับเราเป็นแบบนี้ เราก็ดีใจเล็กๆ ว่าไม่ต้องทำงานกับเขาแล้ว แต่ก็เสียใจไปกับเขาเหมือนกัน เพราะมันคงเซ็งน่าดูที่ทำงานๆๆๆ มาแล้วซักวันงานยังไม่เสร็จแต่มีคนมาบอกว่าจะให้คนอื่นมาทำแทน

เรามองรอบๆ ตัวเรา ในขณะที่เรามีหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องจัดการกับคนอื่นมากขึ้น (ไม่ใช่ทำแต่งานของตัวเองให้เสร็จ) เราเริ่มเห็นถึงความแตกต่างในความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานและคนที่ทำงานให้เรามากขึ้น รู้ตัวว่ามีบางที่ที่มันมีอาการศรศิลป์ไม่กินกันอยู่ด้วย เราพยายามจะกำจัดความรู้สึกนั้นออกไป แต่ว่ามันต้องเป็นการร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย เราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ยากอยู่แล้ว ยิ่งอีกฝ่ายไม่ช่วยไม่พยายามไปด้วยก็ยิ่งลำบากมากขึ้น เราได้แต่หวังว่ามันคงไม่มีเหตุการณ์อย่างที่เกิดกับจอนมาเกิดกับเรามั่ง...