Cambodia 2003 - Part II
วันที่สอง - ปราสาท ปราสาท ปราสาท นครวัด ทะเลสาบเขมร

ก่อนจะเล่าเรื่องเที่ยวต่อ เราต้องบอกก่อน (ลืมบอกไปตอนแรก) ว่าเราเล่าจากความทรงจำอันกระพร่องกะแพร่งที่ฟังมาจากไกด์ ฟังได้ความมั่งไม่ได้ความมั่ง เล่าถูกมั่งผิดมั่ง อ่านไปฆ่าเวลาเล่นๆ ได้แต่อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเอาเป็นสาระอะไร... เอ้า เตือนจบแล้วก็อ่านกันต่อ

ความที่วันที่สองมีโปรแกรมเที่ยวเยอะ ทัวร์เขาก็ขอร้องว่าให้ตื่นเช้าหน่อย ห้าครึ่ง-หกครึ่ง-เจ็ดครึ่ง (คนที่เคยไปเที่ยวกับทัวร์คงรู้ว่าสูตรนี้หมายความว่าอะไร) คือ Morning call ตีห้าครึ่ง ข้าวเช้าหกครึ่ง ออกเดินทางเจ็ดครึ่ง ตอนที่เขาโทรมาปลุกเราไม่อยากจะลุกเลย ก็เลยนอนนิ่งให้แม่ตื่นก่อน พอแม่อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยเรียกเราตื่น (ไปกับแม่ก็ดีแบบนี้แหละ)

อาหารเช้าของโรงแรมเป็นบุฟเฟต์ เยอะแยะจนเลือกไม่ถูก มีทั้งอาหารเช้าธรรมดาๆ อย่างข้าวต้ม ไข่ดาว แฮม ขนมปัง คอร์นเฟลค ไปจนถึง เฝอ บะหมี่เย็นญี่ปุ่น เราเรากินโจ๊กไก่ที่เขามีถั่วงอกหัวโตให้ใส่นอกเหนือจากกระเทียมเจียวกับต้นหอมซอย แล้วกินโยเกิร์ตกับผลไม้แค่นี้ก็อิ่มเลยตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นค่อยมากินอย่างอื่นๆ ต่อ(ตะกละซะ...)

ก่อนออกเดินทางเขาก็เรียกทุกคนมารวมกันเพื่อเล่ารายละเอียดของสถานที่ที่จะไป อาจารย์สุเนตรอธิบายได้สมกับที่เป็นอาจารย์จริงๆ มีโชว์แผนที่เล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นยุคๆ เราก็ฟังๆ ไปแต่จำไม่ได้หรอก เม็มโมรี่เต็มหมดแล้ว (ส่วนที่ไม่เต็มก็เสื่อมเพราะใช้งานมานาน)

การเที่ยวในเสียมเรียบส่วนใหญ่เป็นการทัวร์ปราสาท ซึ่งอาจารย์สุเนตรเล่าว่าปราสาทที่สร้างๆ กันนี้ มีจุดประสงค์หลัก 3 อย่าง 1. สร้างให้บรรพบุรุษ 2. สร้างให้ตัวเอง 3. สร้างเพื่อบูชาศาสนา หลังจากที่ได้เห็นได้ดูสิ่งก่อสร้างมากมาย เราคิดว่าสุดท้ายแล้วที่สร้างๆ กันได้ก็เป็นเพราะความเชื่อ คนสมัยก่อนทำสิ่งมหัศจรรย์ได้เพราะมีความเชื่อ ในขณะที่คนสมัยนี้มีความเชื่อน้อยลงๆ ต่อไปคนยุคหลังๆ คงไม่มีทางรู้ได้ว่าเราอยู่กันยังไง เพราะไม่ได้สร้างสรรค์อะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง ปราสาทที่เราไปตอนช่วงเช้าของวันที่สองก็มี --

ปราสาทพระโค ที่เรียกชื่อแบบนี้เพราะหน้าประสาทองค์หลังที่อยู่ตรงกลาง มีรูปปั้นวัวจอดอยู่สามตัวหน้าบันไดทางขึ้น วัวเป็นพาหนะของกษัตริย์ในสมัยก่อน การมีวัวจอดอยู่ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เหมือนมีรถเบนซ์จอดอยู่หน้าบ้านรอว่าเวลาจะไปไหนก็มียานพาหนะรอพร้อม

ปราสาทบากอง สร้างเป็นทรงขุนเขา โดยขุดคูน้ำรอบๆ แล้วเอาดินที่ขุดได้มาถมให้ตัวปราสาทสูงขึ้นมา มีสะพานนาคข้ามคูน้ำ เป็นความเชื่อว่าสะพานนาคเป็นเหมือนสายรุ้งที่ทอดจากโลกมนุษย์ไปหาพระศิวะ

ปราสาทบันทายศรี เป็นปราสาทขนาดค่อนข้างเล็กแต่นับเป็นเพชรน้ำหนึ่ง ปราสาททำด้วยหินสีชมพูมีการตกแต่งโดยการแกะสลักลงไปบนหินอย่างสวยงาม ตามหน้าบันเหนือประตูทางเข้า มีรายละเอียดเยอะเป็นการเรื่องราวและยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์

ปราสาทแปรรูป คาดว่าน่าจะสร้างเพื่อเป็นเมรุ ซึ่งทำให้ “แปรรูป” ไปเป็นอย่างอื่น ปราสาทแปรรูปสร้างเป็นทรงขุนเขาเหมือนบากอง แต่มียอดถึง 5 ยอด ก็คาดว่าเป็นเพราะเริ่มมีความรู้มีเทคโนโลยีในการก่อสร้างที่ดีขึ้นนั่นเอง

ปราสาทตาแก้ว เป็นปราสาทที่เห็นว่าพัฒนามากขึ้นที่สุด และคิดว่าน่าจะเป็นพื้นฐานต้นแบบของนครวัด ดูจากตัวปราสาทแล้วก็คิดว่าน่าจะยังสร้างไม่เสร็จ ชาวบ้านเชื่อว่า ที่ไม่สร้างให้เสร็จเพราะถ้าเสร็จจะเกิดฟ้าผ่า แต่นักประวัติศาสตร์กลับคิดไปอีกทางว่า ปราสาทส่วนใหญ่ก็สร้างไม่เสร็จทั้งนั้น เพราะสร้างตามคำสั่งของกษัตริย์ กษัตริย์เชื่อว่าสร้างไว้ให้ตัวเองหลังจากตาย (สวรรคต) ถ้าสร้างเสร็จก็หมายถึงตัวเองต้องตาย หรืออีกทางหนึ่งก็คือที่ปราสาทต่างๆ สร้างไม่เสร็จอาจะเป็นเพราะมีการเปลี่ยนรัชกาลซะก่อนก็ได้

เดินทัวร์หลายปราสาทก็ทำเอาเหนื่อยได้เหมือนกัน แต่เป็นการเหนื่อยสะสมไม่เหมือนวันแรกที่ตะลุยเดินเสียเหงื่อท่วมตัว โชคดีที่มีเมฆมากด้วยทำให้ไม่ร้อนมาก

ตอนกลางวันไปกินที่ร้านชื่อปารีสเป็นอาหารชุด (เหมือนโต๊ะจีน แต่ต้องเรียกว่าเป็นโต๊ะเขมรมากกว่า) กินอาหารเสร็จจะขึ้นรถฝนก็เริ่มตกพรำๆ ได้ยินคนพูดว่ามีคนในทัวร์เราเดินชนเสาไฟฟ้าหัวแตก เป็นคนที่นั่งรถคันที่สาม เรานึกในใจว่าต้องเป็น “คนจีน” พอไปดูก็ใช่จริงๆ “คนจีน” ที่ว่านี่เป็นคนไทยนี่แหละ แต่เขาจะไม่คล่องภาษาไทย บางทีเขาจะทำท่าไม่เข้าใจที่ไกด์อธิบาย ตอนแรกคุณวีระนึกว่าเขาไม่ใช่คนไทย ก็เลยอธิบายเป็นภาษาอังกฤษเขาทำหน้าว่าเข้าใจมากกว่า ก็เลยยิ่งนึกว่าไม่ใช่คนไทย แต่ภรรยาเขาบอกว่า เป็นคนไทยนี่แหละค่ะ แต่ว่าเรียนภาษาจีนเยอะมากจนพูดไทยไม่ชัด

ที่เรานึกว่าต้องเป็นคนนี้ เพราะเราตั้งแต่เห็นเขาพูดเขาคุย ก็รู้สึกว่าเขาท่าทางแปลกยังไงชอบกล ประมาณเป๋อๆ ซื่อๆ เงอะงะๆ ยังไงบอกไม่ถูก เป็นคนที่คิดว่าน่าจะเดินชนเสาจนหัวแตกได้ หลังจากเหตุการณ์นี้ก็นึกไปถึงเรื่องที่อีตาคุณมีนบอกว่า มาทัวร์ทีไรต้องมีเรื่องทุกที ลูกทัวร์หัวแตกนี่ก็จัดเป็นเรื่องให้เขาได้ไปเล่าให้ลูกทัวร์ชุดต่อไปฟังเป็นแน่

ออกจากร้านอาหารก็ไปนครวัด ฝนก็ยังตกอยู่หน่อยๆ ไกด์เขาเตือนว่าให้เอาของไปเท่าที่จำเป็นเพราะจะเป็นอุปสรรคและภาระในการปีนขึ้นไปบนตัวปราสาท ก่อนให้ลูกทัวร์ได้ผจญภัยไต่ปราสาท อาจารย์สุเนตรกับคุณวีระก็พาเดินดูภาพสลักนูนต่ำบนกำแพงรอบๆ ตัวนครวัดพร้อมบรรยายประวัติไปเรื่อยๆ กว่าจะเดินดูรอบก็พอให้รู้สึกเมื่อยๆ

ความจริงเราคิดว่ามาถึงนครวัดแล้วก็อยากจะให้แม่ได้ขึ้นถึงยอด พอเห็นความชันของขั้นบันไดบวกกับมีเวลาแค่ประมาณ 30 นาทีที่จะปีนขึ้นปีนลง (เพราะมีรายการที่จะไปนั่งเรือที่ทะเลสาบต่อ) แม่ก็เลยบอกว่ารออยู่ข้างล่างดีกว่า คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ไปกันหมด ยกเว้นแม่กับเราแล้วก็คู่แม่ลูกอีกคู่หนึ่งที่นั่งรถคันเดียวกับเรา คุณวีระกับอาจารย์สุเนตรก็ไม่ได้ปีนขึ้นไปหรอก (แกมากันหลายๆ รอบแล้วก็คงขี้เกียจ) ให้ไกด์เขมรนำลูกทัวร์ไป

พวกเราเดินตามไกด์อีกคนหนึ่งไปรอที่เซเว่นเคลื่อนที่ (เจ้าหน้าที่ทัวร์ที่มาตั้งถังน้ำแข็งรอแจกน้ำกับผ้าเย็น) ระหว่างรอไกด์ก็มีมุขพาไปดูรูปสลักนางอัปสราที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนที่กำแพงนครวัด เขาชวนไปดูนางอัปสรานุ่งกางเกงขาสั้น ดูนางอัปสราแต่งตัวโป๊

หลังจากคนอื่นๆ ลงมากันจากยอดปราสาทแล้วก็นั่งรถไปทะเลสาบเขมร ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด (ในเอเชีย?) เขมรเขาเรียกแหล่งน้ำด้วยชื่อต่างๆ ที่บอกขนาด ใหญ่ที่สุดคือทะเล (ซึ่งหมายถึงทะเลสาบน้ำจืดเท่านั้นทะเลที่เป็นน้ำเค็มเขมรเรียกว่า สมุทร) รองลงมาคือ บาราย (อ่างเก็บน้ำ) แล้วก็เป็น สระ-บึง-ตะเบียง ไล่ขนาดกันลงมา

ทะเลสาบเขมรเป็นแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีปลาหลากหลายและตัวโตมากๆ มีชาวประมงตั้งบ้านเรือนอยู่ตามริมน้ำซึ่งเป็นมีบ้านเสาสูงและบ้านที่เป็นแพและที่อยู่ในเรือเลย เราเห็นสภาพแล้วดูแย่มากๆ บ้านดูเหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ หลังคามุงจากเหมือนจะคุ้มฝนไม่ได้ แต่ไกด์บอกว่าที่จริงความเป็นอยู่เขาดีพอควรดีกว่าพวกที่อยู่บกเสียอีก ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่พอนั่งเรือขากลับเริ่มมืดแล้วถึงได้เชื่อ เพราะเห็นว่าเขามีโทรทัศน์ดูกันแทบทั้งนั้น ต่างจากบ้านตามหมู่บ้านที่เราผ่านๆ ตอนนั่งรถ ไฟฟ้ายังไม่มีใช้เลย แต่บ้านเรือใช้เครื่องปั่นไฟปั่นให้แสงสว่างแล้วแถมดูทีวีหรือเล่นเกมอีกต่างหาก

เรานั่งเรือตามปากแม่น้ำออกไปจนถึงตัวทะเลสาบก็ตะลึง เพราะใหญ่โตมโหฬารจริงๆ ถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้ำขุ่นๆ เหมือนน้ำคลองก็ต้องนึกว่าเป็นทะเล (สมุทร) ตอนที่เราออกไปมีแค่เรือของพวกเราสองลำกับเรือของนักท่องเที่ยวที่ดูท่าทางจะเป็นคนญี่ปุ่นอีกลำเดียว เขาโดดลงไปว่ายน้ำเล่นด้วย ขากลับเขาแวะที่แพที่จัดแสดงเกี่ยวกับปลาน้ำจืดและขายของที่ระลึกให้เราได้เข้าห้องน้ำและกินกุ้งแม่น้ำด้วย แต่ไม่ใช่กุ้งแม่น้ำแบบตัวละสองร้อยห้าสิบที่อยุธยาหรอกนะ เป็นกุ้งตัวเล็กๆ แบบที่เอาไปทำกุ้งหวาน กุ้งสดมากกินอร่อยดี เขามีน้ำจิ้มแบบเขมรคือเอาพริกไทยตำกับเกลือแล้วบีบมะนาวใส่ แต่รสชาติไม่สะใจเท่ากับน้ำจิ้มพริกตำ เราลองถามราคากุ้งดู ก็ไม่แพงนะจานหนึ่งประมาณ 30 บาท

กินกุ้งเสร็จก็นั่งเรือเข้าฝั่งแล้วก็นั่งรถกลับ ไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารชื่อกุเลน เป็นอาหารบุฟเฟต์ และมีการแสดงเหมือนร้านเจ้าพระยาเลย แต่ร้านนี้อาหารไม่หลากหลายและอร่อยเท่า เราสังเกตว่าการแสดงของร้านนี้ดูดีกว่า (ความที่การแสดงเหมือนกัน ก็เลยเปรียบเทียบได้ง่าย) ตอนที่ขึ้นรถกลับโรงแรมไกด์เขาบอกว่า ร้านกุเลนนี้เขาดังมากเรื่องนางอัปสรา เขาภูมิใจว่าได้คัดเลือกตัวที่จะมาเป็นนางอัปสราอย่างดี จะสวยกว่าร้านอื่นๆ กลับถึงโรงแรมก็เกือบสามทุ่ม ก็จบเหนื่อยๆ ไปอีกวันหนึ่ง