My new toys
เราเพิ่งมีเครื่องเล่นดีวีดีกับเขาเมื่ออาทิตย์ก่อน อยู่ที่บ้านที่แม่กลอง เพราะว่าก๊อใหญ่เขารุสต็อคของเก่าๆ ของเขามาให้ (ของเก่าๆ ในสต็อคเขามีเยอะ แม่ชอบบอกว่า อยากได้อะไรก็ไปบอกก๊อใหญ่เหอะ เขามีสต็อคทุกอย่าง... ขนาดโถส้วมยังมีเลย เหอๆๆๆ) เขาเปลี่ยนโทรทัศน์ให้เราด้วย จอขนาดเท่าเดิมแต่เป็นแฟลตสกรีน ก่อนหน้านี้โทรทัศน์ในห้องนอนเราที่แม่กลองมันพิการ เวลาเปิดจะต้องใช้ทั้งเวลาและพละกำลังมากๆ มันเป็นโทรทัศน์บ้าอะไรก็ไม่รู้ที่ต้องเปิดจากรีโมทคอนโทรล ปุ่มเปิดที่เครื่องจะเปิดแค่ให้เป็น Stand-By

เราเดาเอาว่าคอนแทคต์ของตัวสวิตช์ปิดเปิดในเครื่องมันคงเสื่อม กว่าเราจะเปิดโทรทัศน์ได้ต้องกดรีโมทนานมาก แรกๆ ก็ไม่นานเท่าไหร่ แค่ 5 ครั้ง 10 ครั้งก็ติด แต่หลังๆ นี่ยิ่งแย่ลงๆ จนครั้งล่าสุดนี่กดอยู่ประมาณ 15 นาทีจึงได้ดูโทรทัศน์ เราทนไม่ไหวก็เลยบอกให้ก๊อใหญ่ช่วยเอาโทรทัศน์ไปซ่อมให้ด้วย (หวังว่า “คนบางคน” คงจะไม่บอกว่า เป็นน้องคนเล็กสบายเหลือเกิน เพราะเรื่องบริการคนอื่นแบบนี้ ก๊อใหญ่เขาช้อบ... ชอบ)

ผ่านไปหลายอาทิตย์ เราโทรทัศน์ก็ยังไม่ได้ซ่อม จนตอนหลังเราคิดจะยกโทรทัศน์เครื่องเก่าของก๊อมาดูก่อน แต่เครื่องมันใหญ่ ยกเองไม่ไหว ก็เลยต้องบอกก๊ออีก พออาทิตย์ก่อนกลับบ้านไปพบว่านอกจากเขาจะยกโทรทัศน์มาให้แล้ว ยังเอาเครื่องเล่นดีวีดีมาให้ด้วย มีหนังสองเรื่อง (The Lord of the Rings กับ สุริโยทัย) แถมจัดห้องนอนให้เราใหม่อีกด้วย (ย้ายพวกของเล่นเก่าๆ ของพวกหลานๆ ที่เมื่อก่อนเขาเคยเอามาฝากไว้ตอนที่เราไปอยู่แคนซัส เรากลับมาก็ไม่ได้ไปจัดการอะไรกับมัน เพราะขี้เกียจและมันก็ไม่ได้เดือดร้อนรำคาญอะไร)

เราได้ดูดีวีดีเป็นครั้งแรกก็รู้สึกว่ามันเท่มากๆ คือ มันไม่เหมือนวีดีโอ หรือวีซีดี ที่ใส่แผ่นเข้าไปแล้วก็ให้มันเล่น แต่มันมีเมนูให้เลือก เหมือนกับเราใช้คอมพิวเตอร์ จะดูหนัง จะดูสารคดีพิเศษที่แถมมากับหนัง จะตั้งค่าเซ็ตติ้งต่างๆ เกี่ยวกับระบบเสียงหรือซับไตเติ้ล ประมาณว่าไฮ-เทคอ่ะนะ แต่กว่าจะรู้แบบนี้ก็เชยๆ ไปก่อน แบบใส่แผ่นเข้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหน กดไปให้มันโชว์อยู่ที่หน้าเมนู ก็นึกว่าจบจากโชว์ภาพเคลื่อนไหวแล้วมันจะเล่นหนังให้อัตโนมัติ รออยู่ตั้งเป็นนาทีๆ ตอนหลังถึงได้รู้ว่าต้องกด Play อีกทีหนึ่ง เฮ้อ....

กล้อง

ก่อนที่เราจะดำน้ำที่มาบูล เก๋ (พีระดา ไม่ใช่ แม่ไอโกะ) พยายามนัดเจอเรา บอกว่ามีของจะให้ แต่เราก็ยุ่งเสียจริงๆ จังๆ จนที่นัดไว้ก็ต้องล่มไป (มี “คนบางคน” มาเยาะเย้ยเราอีกตะหาก) ความจริงเราบอกเก๋ว่า ถ้าเป็นของที่ไม่บูดไม่เสียให้รอเรากลับจากไปเที่ยวก่อนก็ได้ แต่เก๋อยากให้มากๆ บอกว่าจะให้เป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า ในที่สุดเก๋ก็เลยตัดสินใจส่ง “ของ” ทางไปรษณีย์มาให้เรา เราแกล้งๆ ถามว่าจะส่งกล้องดิจิตอลมาให้เรายืมใช้หรือไง (เก๋ฝากเพื่อนซื้อกล้องใหม่ Canon G5 จากญี่ปุ่น ตอนงานแต่งงานแอนเราเลยแซวว่าเก๋เอาตัวเก่ามาให้เรายืมใช้ก่อนก็ได้นะ) เก๋หัวเราะบอกว่า จะส่ง A70 มาให้ เราก็นึกว่าพูดเล่น

พอได้รับกล่องพัศดุ เราดูขนาดแล้วก็นึกในใจว่า เก๋อย่าส่ง Harry Potter เล่มห้ามาให้เป็นของขวัญนะเฟ้ย แต่พอแกะออกมาอ้าว เฮ้ย กล้อง Canon A70 ใหม่เอี่ยมเลยนี่นา มี Manual ภาษาญี่ปุ่น กับคู่มือการใช้คร่าวๆ เป็นภาษาไทยที่เก๋พิมพ์จากอินเตอร์เน็ต ติดมาด้วย เราเห็นแล้วก็อึ้ง เก๋มันเล่นแรงเว้ย...

คือก่อนหน้านี้ (นานหลายๆ ปีมาก) เราบ่นว่าอยากได้กล้องดิจิตอล แต่ตัดใจซื้อไม่ลง ก็บ่นๆๆๆ จนเก๋ซื้อกล้องตัวแรกมาใช้ เราก็บ่นๆๆๆ จนพร (เพื่อนที่สตรีวิทย์) ซื้อกล้องดิจิตอลมาใช้ เราก็ยังบ่นๆๆ แล้วก็เลิกไป จนตอนที่เราไปประชุมที่แคนซัสเมื่อเดือนพฤษภา เราก็ทำท่าฮ็อตอยากได้กล้องขึ้นมาอีก ตอนไปที่แคนซัสก็ไปเดิน Best Buy หยิบๆ จับๆ แล้วก็ตัดใจไม่ลงอย่างเคย พอกลับมาก็มาคุยๆ ในเว็บบอร์ดเรื่องกล้องต่ออีก เพราะเก๋บอกว่าเพื่อนจะไปญี่ปุ่น สามารถฝากเพื่อนเก๋ซื้อได้

จนครั้งสุดท้ายที่เจอกับเก๋ ก็เล่าให้เก๋ฟังว่า เนี่ย วันก่อนพี่หนิงเพื่อนพี่ปุ๊กบอกว่า จะกู้เงินบริษัทมาซื้อกล้องดิจิตอล (พร้อม Casing สำหรับดำน้ำ) เราฟังแล้วอึ้ง “แล้ว GU มัวแต่ลังเลอะไรอยู่วะ” คือไม่ได้ลำบากเรื่องเงินอะไรเลย เพียงแต่คิดว่ามันยังไม่จำเป็น พี่ปุ๊กเลยบอกว่า “นิจ บอกเก๋ไปเลยว่า ฝากซื้อสองอันเลย 555” เก๋ฟังแล้วก็หัวเราะ แต่เราก็แค่พูดเล่นๆ ก็อย่างที่บอก เราก็ยังไม่ตัดใจ จนเพื่อนเก๋ไปญี่ปุ่นแล้ว นิจวรรณก็ยังไม่หือไม่อือ ไม่สั่งว่าช่วยฝากเพื่อนเก๋ซื้อกล้องให้ด้วย

หลังจากเปิดกล่องกล้องดูแบบงงๆ แล้วก็โทรไปหาเก๋ เก๋บอกว่า “เห็นนิจบ่นอยากได้กล้องตั้งหลายปีแล้วเห็นนิจไม่ยอมตัดสินในซะที เก๋ก็เลยช่วยตัดสินใจให้” เรางงๆ “อ้าวเหรอ” ถามเก๋ว่าตกลงราคาเท่าไหร่ เดี๋ยวเราจ่ายตังค์ให้ (ในใจคิดว่า เฮ้... ในที่สุดเราก็มีกล้องดิจิตอลเป็นของตัวเองซะที ถึงแม้จะโดยอุบัติเหตุก็ตาม) เก๋ไม่อยากบอกราคา บอกว่าให้เป็นของขวัญวันเกิด เราเลยบอกว่าถ้าไม่เอาตังค์ เราก็ไม่เอากล้องนะเฟ้ย เดี๋ยวเราส่งคืนทางไปรษณีย์ เก๋บอกเกลี้ยกล่อมว่าให้ลองเอาไปใช้ดูก่อน ต้องพูดอยู่ตั้งนานว่าเราเอากล้องมาใช้หนะได้ แต่เก๋ต้องเอาตังค์เราไปด้วย

หลังจากได้กล้องมาก็เป็นภาระว่าต้องไปหาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง (ถ่านแบบชาร์ตได้ ที่ชาร์ตถ่าน CF card) เราก็เป็นคนที่ทันสมัยเสียเหลือเกิน ไม่รู้จักอะไรเลย เวลาไปซื้อก็ต้องถามคนขายว่าอะไรเป็นอะไร (เป็นพวกที่ชอบถามๆๆๆ ให้รู้ละเอียดก่อนตัดสินใจ) ทำให้ได้รู้ว่าคนไทยนี้ฉลาดเหลือเกินและเป็นพนักงานขายคนไทยนี่ไม่ยาก เพราะคนซื้อต้องรู้อะไรต่ออะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองจะซื้อหามาให้ดีก่อนถึงจะได้ของดีๆ ที่ถูกความต้องการ (ย้ำว่า “ต้อง” เพราะถ้าพลาดท่าซื้อของผิดไปแล้ว ก็ยากที่จะเปลี่ยนใจหรือคืน มาร์ตินฝรั่งอเมริกันที่มาทำงานที่ออฟฟิซเราบอกว่า เวลาซื้อของในเมืองไทย ถ้าจ่ายเงินออกจากกระเป๋าไปแล้ว It’s all yours.) พนักงานขายเขาไม่ค่อยต้องรู้อะไรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองขายซักเท่าไหร่ แบบว่าถ้าจะไปถามเพื่อหาความรู้ก็ต้องผิดหวัง (ก็หน้าที่เขาคือขายของหนิ ไม่ใช่ครู) จะรู้ก็แต่ว่าจะพูดยังไงให้คนยอมซื้อเท่านั้นเอง พอเราเป็นคนที่ต้องรู้ก่อนที่จะซื้อ ภาระก็เลยไปตกอยู่กับเก๋อีก เราส่งอีเมล์ถามโน่นถามนี่จนเก๋บอกว่า “เดี๋ยวจะโทรไปหา ขี้เกียจพิมพ์แล้ว”

ในที่สุดเราได้กล้องมา ก็เอาไปถ่ายเล่นๆ โน่นๆ อยู่แป๊บๆ แต่ไม่ได้เอาไปถ่ายรูปตอนที่ไปมาบูล ได้เอาไปเปิดตัวจริงๆ ก็คือทริปเขมร ถ่ายรูปมาร้อยกว่ารูป แบบที่พอดูได้มีไม่ถึงครึ่ง เราว่าเก๋ยัดเยียดหากล้องมาให้เราแล้ว น่าจะต้องหาหลักสูตรหรือแนะนำเทคนิคการถ่ายรูปให้เราด้วยถึงจะครบสูตรนะเนี่ย : )