Call in sick
ช่วงนี้เนือยๆ เรื่อยๆ ไม่มีอะไรเขียน บ่นให้ฟังดีกว่า...

อาทิตย์ที่แล้วที่บริษัทเราเปลี่ยนพรมใหม่ตรงหน้าประตูทางเข้ากับฝั่งที่กั้นบูธใหม่ เราเหม็นกลิ่นกาวมาก เดินผ่านที่ไรก็ได้กลิ่น ทำให้เรารู้สึกแสบคอและเริ่มไอ ก็เลยไปหาหมอ คือความจริงซื้อยาแก้ไอกินเองก็คงได้ แต่เราต้องจ่ายตังค์เอง ถ้าไปหาหมอก็ไม่ต้องจ่าย (ประกันเป็นคนจ่าย) วันที่เราไป “คุณหมอไฮโซ” ไม่มา เราเลยไปเจอหมอคนใหม่เป็นหมอผู้ชาย ปรากฏว่าคราวนี้เป็นคุณหมอไฮโซของแท้เพราะนามสกุลใหญ่บึ้ม แถมพอเห็นบิลค่าหมอแล้วอึ้งเลย หมอคุยกับเราอย่างมากสิบห้านาที ค่าหมอ 500 บาท ค่ายา 400 กว่าบาท

เราถามพนักงานที่ออกบิลว่าปกติค่าหมอเขาคิดกันยังไง เพราะถึงแม้โรงพยาบาลนี้จะขึ้นชื่อว่าแพง แต่คราวก่อนๆ ที่เรามาหา ค่าหมอก็แค่ 300-350 บาท และได้คุยกับหมอถามไถ่อาการกันนานกว่านี้ตั้งเยอะ พนักงานบอกว่า ก็แล้วแต่ “อาจารย์” จะเขียนค่ะ คือ ที่โรงพยาบาลนี้เขาจะเรียกหมอทุกคนว่า “อาจารย์” เดาเอาว่าเป็นมูลค่าเพิ่ม ช่วยเสริม “เครดิต” ให้กับหมอ เราดูหน้าตาท่าทางของหมอคนที่ตรวจเรา อายุก็ยังไม่มากไม่น่าจะเป็นอาจารย์ได้ เราคิดว่าหมอคนนี้ “ฟัน” ค่าหมอแพงเกินเหตุ แต่ค่าหมอรวมกับค่ายาก็ไม่เกินที่เราเบิกกับประกันได้ ก็ไม่ได้โวยวายอะไร

ว่าแต่จริงๆ แล้วเรามีสิทธิ์ที่จะไปโวยกับหมอได้ไหมเนี่ย คนปกติทั่วไปคงไม่มีใครคิดโวย แต่เราคิดไว้ว่าถ้าคราวหน้ามาหาหมอที่นี่ แล้วเกิดได้มาเจอหมอคนนี้อีกเราจะถามหมอว่าเขาคิดค่าหมอยังไง (จะกล้าตายมากไปไหมเนี่ย เกิดหมอสั่งยาห่วยๆ ให้ จะแย่ไหมเนี่ย) เราก็เข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นหมอได้ เป็นวิชาชีพเฉพาะ ต้องมีคุณสมบัติต้องมีความรู้ แต่ค่าปรึกษา 15 นาที 500 บาท ชั่วโมงละ 2,000 บาท ทำงานแค่วันละ 4 ชั่วโมง เดือนละ 20 วัน ได้เดือนละหนึ่งแสนหกหมื่นบาท ถ้ามีลูกต้องให้มันเรียนหมอแล้วหละ

Anyway… เราเอายามากินก็ไม่ได้รู้สึกว่าอาการดีขึ้นมาก แต่ก็ดีที่มียากินตอนไอ ตอนบ่ายๆ วันศุกร์เขาดันยอมให้คอนแทร็คเตอร์มาทาสีตอนกลางวันอีก เรารู้สึกเหม็นจนจะทนไม่ได้ ร่ำๆ จะขอกลับบ้านก่อน แต่ดันซวยที่มีงานต้องทำให้เสร็จ เลยต้องอยู่จนเย็น พอวันเสาร์กลับไปบ้านที่แม่กลอง อาการไอก็หนักข้อขึ้น แถมเริ่มแน่นจมูกมีน้ำมูกอีกตะหาก แม่เอายาอมสมุนไพรของจีนอันใหม่มาให้เรา คล้ายๆ กับยาอมแตงโม (เป็นยาอมสมุนไพรจีนเหมือนกัน) ที่แม่เคยให้มาก่อนหน้านี้ แม่บอกว่าเราน่าจะไปหาหมออีกรอบ แต่เราคิดว่าจะกินยาให้หมดก่อนแล้วถ้าไม่หายก็ค่อยไป

พอคืนวันอาทิตย์เราไอหนักมาก ยาที่หมอให้ก็ช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นมาเอายาอมสมุนไพรที่แม่ให้มาก็ยั้งไม่อยู่ นอนๆ ไปก็ตื่นขึ้นมาไอ ลุกมากินยากินน้ำ นอนหลับไปแป๊บหนึ่งก็ตื่นมาไออีก ไออยู่ทั้งคืนกว่าจะผล็อยหลับไปก็ใกล้สว่าง เราตื่นมาอีกทีเก้าโมง ว๊าก... สายแล้ว!! ไปทำงานไม่ทัน!! ก็เลยว่าจะโทรไปบอกที่ออฟฟิศ ปรากฏว่าเสียงบู้บี้มาก (แน่นจมูก+เจ็บคอ) พี่ที่รับโทรศัพท์ถามว่า นิจวรรณไม่สบายเหรอ อ้าวถามแบบนี้ก็เข้าทางเราสิ ก็เลยรับคำบอกว่าวันนี้ลาป่วยจะไปหาหมอ >:) ความจริงเราไม่ได้ป่วยขนาดไปทำงานไม่ได้ เพียงมันไอมากจนน่ารำคาญ คงต้องไปหาหมอเพราะถ้าไอหนักจนไม่ได้นอนอีกคืนคงได้ป่วยหนักจริงๆ เพราะอดนอน

พอไม่ต้องไปทำงาน เราถือโอกาสจัดการเรื่องอื่นๆ ที่ค้างคาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย แต่เพื่อไม่ให้น่าเกลียดเกินไป เราก็เลยเริ่มต้นด้วยการไปหาหมอซะก่อน ไปโรงพยาบาลเดิมนั่นแหละ ทั้งคุณหมอไฮโซผู้หญิงและคุณหมอไฮโซผู้ชายไม่ได้มา เราก็เลยได้เจอหมอคนใหม่อีกแล้ว หมอคนนี้พูดช้าๆ เนิบๆ เหมือนจะเป็นแต๋วหน่อยๆ แต่พอฟังดูดีๆ หมอพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดแฮะ ท่าทางเหมือนใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกมานาน หมอถามว่าอาการเดิมยังไม่หายใช่ไหม เราบอกว่าเป็นหนักกว่าเดิมอีก ไอจนนอนไม่หลับเลยคราวนี้ เขาก็เลยสั่งยามาให้เราหลายขนาน ทั้งยาลดน้ามูกยากแก้ไอยาแก้หวัด ท่าทางยาแก้ไอที่เขาให้มาจะแรงพอดู เรากินไปแล้วยังกับยาวิเศษ เมื่อคืนตอนนอนเราไม่ได้ไอเลยซักแอะหนึ่ง (แต่คาดว่าถ้าโดนตรวจฉี่ ต้องเป็นสีม่วงแน่เลย เพราะเห็นที่ฉลากเขียนตัวหนังสือสีแดงว่า “ยาเสพติดให้โทษประเภท 3”)

Service Center

หลังจากหาไปหาหมอแล้วก็แวะเอา Printer ไปซ่อม มันขึ้นว่าหัวพิมพ์มีปัญหา เราเช็คอาการจากคู่มือการใช้ก็คิดว่าคงซ่อมไม่ได้ แต่ในเครื่องมันมี 2 หัวพิมพ์ (หัวพิมพ์สี กับหัวพิมพ์ดำ) ก็เลยกะว่าจะเอาไปให้เขาเช็คว่าอันไหนที่เสีย เราอุตส่าห์โทรไปถามที่ Call Center ก่อนว่าใช้เวลาเช็คนานไหม อะไหล่ราคาเท่าไหร่ ค่าหัวพิมพ์นี่แพงนะ หัวละพันกว่าบาท ความจริงเปลี่ยนหัวพิมพ์ก็ไม่ค่อยคุ้มค่าเงินเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้ Printer ราคาไม่ค่อยแพง แต่เราเสียดายที่จะปล่อยเครื่องมันทิ้งไว้เฉยๆ

พอเราไปถึงก็บอกช่างบอกว่าสงสัยว่าหัวพิมพ์จะมีปัญหา เขาบอกว่า หัวพิมพ์มีปัญหาต้องซื้อไปเปลี่ยนเอาเองนะ เราก็งง (แล้วมีศูนย์บริการไว้ทำไมวะ) เขาบอกว่าแต่เดี๋ยวจะเช็คให้ว่ามันเสียจริงหรือเปล่า ใช้เวลาเช็คแค่แป๊บเดียว ปรากฏว่าหัวพิมพ์สีเสียแค่อันเดียว (อันที่แพงกว่า) เขาให้เราไปซื้อเปลี่ยนเอง เราถามว่าที่นี่ไม่มีหัวพิมพ์ขายเหรอ เขาบอกว่าไม่มี ให้ไปซื้อตามร้านไอที เอ๊อ... อุตส่าห์มาถึงศูนย์บริการใหญ่ มันให้เราไปซื้ออะไหล่ที่ร้านข้างนอก สรุปว่าเราต้องไปซื้อหัวพิมพ์ที่ร้านไอทีที่เซ็นทรัล

Internet Banking

เสร็จจากเรื่อง Printer แล้วก็ว่าจะแวะไปเปิดบัญชีธนาคาร เพราะเก๋ (แม่ไอโกะ) ซึ่งเป็นผู้จัดการการลงทุนของเรา บอกว่าเราควรจะมีบัญชีธนาคารต่างหากสำหรับให้คนโอนค่าเช่าคอนโดเข้าบัญชี (เป็นคอนโดแถวๆ ศรีนครินทร์ซึ่งเก๋เอาเงินเราไปจัดการซื้อและจัดการเรื่องคนเช่าให้) ตั้งใจว่าจะเปิดบัญชีที่เช็คยอดทางอินเตอร์เน็ตได้และเป็นธนาคารคนใช้เยอะๆ หน่อย ก็มีไทยพาณิชย์กับกสิกร เราตัดกสิกรทิ้งเพราะเคยมีข้อพิพาทมาก่อน (เราเปิดบัญชีทางอินเตอร์เน็ต แล้วโดนบังคับว่าต้องสมัครบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรวีซ่าอิเล็คตรอนด้วย ซึ่งเราไม่ต้องการใช้ เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี เราก็เลยยกเลิกบัญชีนั้นไป ทั้งๆ ที่เขาส่งสมุดบัญชีส่งเอกสารอื่นๆ มาให้เราถึงบ้านแล้ว)

กว่าจะเสร็จเรื่อง Printer ก็ใกล้จะสามโมงแล้ว ธนาคารไทยพาณิชย์แถวๆ นี้ก็ไปไม่สะดวก แถมคนเยอะด้วย เราเดินผ่านสาขาย่อยของกสิกรที่เปิดในเซ็นทรัล ก็เลยเดินเข้าไปลองถามว่าเปิดบัญชีได้หรือเปล่า เขาบอกว่าได้ ก็เลยถามต่อว่าถ้าเปิดบัญชีออมทรัพย์ธรรมดาและสมัครใช้บริการทางอินเตอร์เน็ต ต้องเสียค่าบริการอะไรหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่เสีย เราก็เลยได้เปิดบัญชี เขาถามว่าจะเอาบัตรเอทีเอ็มด้วยไหม เราบอกว่าไม่เอา ตอนกรอกเอกสารสมัครใช้บริการทางอินเตอร์เน็ต พนักงานเขาก็บอกว่า เนี่ย เปิดบัญชีทางอินเตอร์เน็ตก็ได้นะ เราหัวเราะขื่นๆ อยู่ในใจ ขอโทษ Been there, done that. รู้แล้วและลองมาแล้วด้วย ถ้าเขาไม่ยัดเยียดให้ต้องสมัครบัตรเอทีเอ็มควบคู่ไปกับบัญชีที่เปิดทางอินเตอร์เน็ต เราก็คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก เฮ้อ...