Strike It Rich
จะบอกว่ามีความเชื่ออยู่สองนิกาย (ที่นึกออกตอนนี้) ที่เราคิดทีไรก็ไม่เข้าใจว่ามันทำยังไงถึงทำให้คน Convert ได้...

เมื่อวานเรากลับบ้านค่ำ คนที่ทำงานอยู่ๆ ก็มาเดินวนเวียนๆ แถวๆ โต๊ะเรา เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ปรากฎซักพักเข้ามาถามเราว่า ว่างคุยด้วยไหม เราก็นึกว่าจะถามเรื่องงาน เพราะคนนี้เขาไปอยู่ไซต์มาพักใหญ่ ตอนนี้ต้องมาเป็น Lead ของโปรเจ็คต์ ก็จะมีเรื่องที่เขาไม่ค่อยรู้หรือลืมไปแล้วมาถามเรา แต่เขากลับบอกว่า จะขอปรึกษาเรื่องไอเดียทางธุรกิจ เราก็ยังไม่ไหวตัวอีก

เขาก็เล่าว่า ถ้ามีคนเอาไอเดียทางธุรกิจมาขาย แล้วคิดค่าการสอนทำธุรกิจเหมือนเป็นแฟรนไชส์ แต่แทนที่จะขายของเหมือนเซเว่น ก็เป็นการคิดค่าสอนเทคนิคแทน เราว่าจะเป็นไปได้ไหม ไอเดียของเขาคือ (เราจะพยายามเล่าแบบรวบรัดตัดความนะ :P) การจับกลุ่มกันตัวเรากับเพื่อนอีก 3 คนลงทุนคนกันคนละ 11,000 บาท ไปเป็นทุนซื้อสินค้าใช้แบบเดียวกับที่มีขายตามห้าง แต่การที่เรารวมกลุ่มกันซื้อมากๆ ก็จะมีส่วนลดเป็นเปอร์เซ็นต์ค่าหนึ่งสมมติว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนลดนี้ก็เอามาแบ่งกันในบรรดาคนที่มาลงทุนได้กันคนละประมาณแปดร้อยกว่าบาท

ต่อมาถ้าเพื่อนเราสามารถไปชวนคนอื่นๆ ได้อีกคนละ 3 คนให้มาลงทุน ก็มีคนทั้งหมด 9 คน ก็จะมีเงินทุนเยอะขึ้น ก็จะได้ส่วนลดเพิ่มขึ้น สมมติว่า 15 เปอร์เซ็นต์ เงินส่วนลดนี้ก็เอามาแบ่งกัน ได้ประมาณคนละพันกว่าบาท แล้วทีนี้ต่อมาถ้าคน 9 คนนี้ก็ไปชวนเพื่อนๆ อีกคนละ 3 คน ก็จะมีคนทั้งหมด 27 คน ได้ส่วนลดเพิ่มขึ้นอีก ได้แบ่งกันเยอะขึ้นอีก ฯลฯ ฯลฯ สรุปว่าสามารถได้ถึงเป็นเดือนละหมื่นกว่าบาทแหนะ

ไม่รู้คนอื่นคิดยังไง แต่เราฟังแล้วนึกถึงแอมเวย์ตั้งแต่ตอนที่มันแตกตัวจาก 3 เป็น 9 แล้วอ่ะ เราก็ถามตู้มไปเลย เขาก็ทำหน้าแหยๆ แล้วก็ยอมรับว่าใช่ (คนที่ยังไม่ค่อยอัพเดท ตอนนี้ “มัน” มีไอเดียใหม่ๆ มาหลอกคุณอีกแล้ว) เขาถามเราว่า เราเห็นว่าเป็นยังไง เป็นไปได้ไหมที่จะมีรายได้แบบนี้ สนใจไหม ฯลฯ

เราพูดคุยกับเขาอยู่พักใหญ่ (ไม่ได้อยากคุย แต่ไม่รู้จะตัดบทหนีจากการสนทนายังไง ความที่เรานั่งคอกติดหน้าต่าง ทางเข้าก็ลึกลับ พอมีคนอื่นเข้ามา ก็เหมือนกับเราโดนต้อนเข้ามุม ไม่มีทางเดินหนี) เราบอกกับเขาว่า ใครจะคิดยังไงไม่รู้ แต่สำหรับเรามันไม่เวิร์ค เขาพยายามจะบอกว่า เขานำเสนอการทำธุรกิจการขายของแบบที่ตัดเอารายจ่ายในการโฆษณา เช่าร้าน มาเป็นกำไรให้กับคนที่มาขายของ แต่เราเถียงว่า เขาไม่ได้ขายสินค้า เขาไม่ได้ทำกำไรจากสินค้า แต่ทำกำไรจากการระดมทุน จากการมีลูกค้าแบบถาวรที่ได้มาจากการมัดมือชก (บังคับลงทุนก้อนใหญ่ แล้วก็ต้องซื้อสินค้าจากบริษัทนี้เท่านั้น เพราะเราจะได้ส่วนลดมากว่า และเราต้องไปหาคนอื่นๆ มาซื้อแบบเราด้วย เราจะได้ยิ่งได้ส่วนลดมากขึ้นๆๆๆ)

เราบอกว่า คนที่สนใจทำธุรกิจแบบนี้ บางคนอาจจะทำได้ บางคนอาจจะทำไม่ได้ (เราเป็นคนที่ทำไม่ได้) แต่คนที่ได้แน่ๆ ไม่มีเสียเลยคือ บริษัทเจ้าของไอเดีย มีเพื่อนเราคนหนึ่งก็เป็นถึงระดับเพชรระดับทองอะไรนั่นเลย เขาก็ถามกลับมาว่าแล้วเราไม่สงสัยเหรอว่าทำไมเขาทำได้ ตอนนั้นคิดไม่ทัน เลยไม่ได้ตอบว่า ไม่สงสัยเพราะคนเราไม่เหมือนกัน เขาถามว่าทำไมเราถึงคิดว่าตัวเราจะทำแบบนั้นไม่ได้

เราบอกว่า เราทำไม่ได้ เพราะเราไม่เชื่อในไอเดียแบบนี้ ถ้าเราไม่เชื่อ จะให้ไปขายได้ยังไง เราไม่ชอบการที่ต้องถูกผูกขาดให้ซื้อหรือขายแต่ของแบบนั้นแบบนี้ตามแคตตาล็อก และเราคิดว่าการที่จะได้มาในสิ่งที่เขาบอก (ผลตอบแทนเป็นหมื่นๆ แสนๆ) มันไม่ง่าย ต้องทำงานหนักต้องทุ่มเท ไม่ใช่ว่าวันนี้ไปชวนเพื่อนในแก๊งค์ไดอารี่แลนด์ เฮ้ยมาขายแอมเวย์กันเหอะ แล้วทุกคนมา (ไม่โดนด่าเปิงนี่ถือว่าเป็นบุญอย่างสูง) เราไม่อยากได้อยากมี อยากรวยขนาดนั้น (และในความเป็นจริงมีทางหลายทางที่จะไปสู่ความร่ำรวย ถ้าเราอยากรวย เราจะไม่เลือกทางนี้อยู่ดี) พอให้เหตุผลข้อสุดท้ายก็ดูเหมือนจะเป็นการปิดการขายของเขา (แบบที่เขาต้องกลับบ้านมือเปล่าไป)

ตอนแรกเรารู้สึกเสียอารมณ์กับการคุยเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ตอนหลังมานึกดูเราก็ได้ข้อคิดจากเรื่องนี้เหมือนกัน คือ เราว่าไอเดียแบบนี้มันเวิร์คได้ เพราะคนมักหวั่นไหวไปกับคำชักชวนของคนอื่นๆ ได้ง่ายๆ โดยไม่คิดถึงเหตุผลและข้อจำกัดของตัวเอง คิดดูสิพูดถึงเงินเป็นหมื่นๆ ใครไม่อยากได้ แต่ถ้าทุกคนคิดดูดีๆ ในทางทฤษฎีมันง่ายจะตาย เราแค่ชวนแค่คน 3 คนนะ แล้วแต่ละคนก็ไปหาเพิ่มอีกแค่ 3 คนเอง เฮ้ย!!! จำ ทฤษฎี Six Degree of Kevin Bacon ของเรา (เอ้ย ไม่ใช่ของเรา... ที่เราเคยเล่าไป)ได้ไหม คนทั้งโลกผูกพันกันด้วยสายใยหกระดับ นี่แค่ 3 ระดับ แต่จะไม่ปาเข้าไปเกือบครึ่งโลกแล้วเหรอ แอมเวย์จะครองโลกไม่กลัวหรือไง (เอ่อ... ไม่เป็นไร เพราะเราได้รายได้สม่ำเสมอเป็นกอบเป็นกำนะ)

เอ้า สมมติแอมเวย์ครองโลกไม่เป็นไร คิดเหรอว่าจะชวนกันได้ง่ายๆ แล้วเขาจะชวนต่อได้กันง่ายๆ ถ้าเราชวนไป 3 คน (พี่ปุ๊ก เก๋ หห) แล้วสามคนนี้ไม่หาคนอื่นต่อ สายป่านเราก็ขาดอะดิ การจะหาเงินให้ได้ "ตามทฤษฎี" ที่เขาว่ามา มันมี If Clause อยู่ในทุกระดับ แต่ละระดับก็หินๆ ทั้งนั้น ต้องทำให้ได้ทุก If Clause ถึงจะได้เงินหมื่นตามที่เขาโฆษณา แต่คนเรามักมองข้ามตรงนี้ไป มองไปโน่นเลย ผลปลายทางโน่น เงินเป็นฟ่อนๆ

เราไม่ได้ยืนยันมั่นใจว่า แอมเวย์จะไม่สามารถทำให้คนรวยได้ มีคนที่ทำได้จริงๆ รวยได้จริงๆ แต่ก็เหมือนกับวิถีทางสู่ความรวยทางอื่นๆ (ไม่ว่าจะทำกิจการร้านค้า ขายประกัน ทำงานบริษัท) คือ ไม่มีอะไรได้มาฟรี ต้องทำงานหนักมากๆ (วิธีจะรวยง่ายๆ รวยเร็วๆ แบบไม่ต้องทำงานหนักไม่มี จะแต่งงานกับคนรวย คิดเหรอว่าสามีรวยๆ มีให้เก็บได้ตามท้องถนน) ต้องอึดและอดทนมากๆ (คนทำธุรกิจอะไรก็ตาม แล้วประสบความสำเร็จใน 10 ปีถือว่า “เก่ง” ประสบความสำเร็จใน 5 ปีถือว่า “เฮง” ถ้าประสบความสำเร็จเร็วกว่านั้น ต้อง “เก่ง+เฮง”) ต้องมุ่งมั่นและทุ่มเทเพื่อการทำงาน (ทำงานเช้าชามเย็นชาม เสาร์อาทิตย์นอนอยู่บ้านตีพุง ชาติหน้าคงรวย) และท้ายที่สุด จำนวนคนที่ประสบความสำเร็จมีน้อยกว่า คนไม่ประสบความสำเร็จมีจำนวนมาก (ไม่งั้นคงรวยกันทั่วประเทศ ไม่ปล่อยให้ ทั่นนาย ก เป็นเศรษฐีอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นแน่แท้)

และในเมื่อรู้ว่ามันยากเย็นขนาดนี้ หากอยากรวยอยากประสบความสำเร็จ จงหนทางที่เราถนัดและเชี่ยวชาญจะดีกว่า จะได้เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จให้มากขึ้นและจะได้เหนื่อยน้อยหน่อย คนที่มนุษย์สันพันธ์บกพร่อง (Socially Challenged) จะให้ไปติดต่อกับคนครึ่งโลกเพื่อนำเสนอไอเดียบรรเจิด มันคงประสบความสำเร็จได้หรอก เพราะฉะนั้นการที่นิจวรรณปฏิเสธความร่ำรวยจากแอมเวย์ ไม่ใช่จากอคติหรือความเกียจคร้าน แต่เป็นการวิเคราะห์อย่างมีหลักการ (อีกแร้ววว) ครับทั่น...

อ้อ... ถ้ายังไม่ลืมที่อ่านไปตอนต้น อีก นิกายหนึ่งที่ว่า คือ วัดธรรมกาย