My luck
วันนี้ทอมส่งอีเมล์รายงานการใช้อินเตอร์เน็ตของเราช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ประมาณว่าเราคงติดอันดับท็อปๆ ของคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตเยอะ แต่โชคดีว่าที่ผ่านมาเรายังไม่มีปัญหาเรื่องงาน คือ ทำงานเสร็จตลอด โดยที่บางทีเราก็อยู่ทำดึกๆ ชดเชยกับที่โอ้เอ้ (แอบแวบเข้าไปในเว็บบอร์ดหรือไดอารี่) ตอนกลางวัน ทอมบอกว่าเขาคิดว่าเราทำเว็บไซต์ของเรานอกเวลางาน เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นไร (แต่ก็บอกให้รู้เอาไว้ว่ามีคนจับตาอยู่)

คิดๆ ดูทอมก็ค่อนข้างจะใจดีกับเราเป็นพิเศษ เพราะมีน้องคนหนึ่งที่ติดอันดับการใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งเรารู้ว่าบางทีเขาก็อยู่ดึกๆ เล่นอินเตอร์เน็ตเหมือนกันแต่กลับโดนทอมว่า โลกนี้ไม่ยุติธรรมหรอก แต่บางครั้งโชควาสนาก็พาไป โลกมันก็ไม่ยุติธรรมเข้าข้างเราบ้างเป็นครั้งเป็นคราว แต่เราคิดว่าไม่ควรจะย่ามใจมากไป เราคงต้องเพลาๆ การใช้อินเตอร์เน็ตที่ไม่เกี่ยวกับงานลงบ้างซะแล้ว...

เมื่อวานเพื่อนที่ลาดกระบังที่ขายแอมเวย์โทรมาหา เรารับโทรศัพท์ไม่ทัน พอเห็นว่าเป็นใครเราก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอวันนี้เขาโทรมาอีกรอบ เราก็เลยต้องจำใจรับ เขาชวนไปงานแสดงสินค้าของเขา ที่บังเอิญมาจัดอยู่ที่ตึกแถวๆ ออฟฟิศเรา เขาบอกว่าหลังเลิกงานถ้าเราว่างอยากชวนให้แวะไปดู เราก็เออๆ คะๆ ไปตามเรื่อง

ตอนเย็นทำงานเสร็จเราก็รีบออกจากออฟฟิศ อย่าเดาว่าเราไปดูสินค้าแอมเวย์ล่ะ เราไปดูหนังตะหาก ช่วงนี้ไม่ค่อยมีหนังดูซักเท่าไหร่ พอดีเห็นว่า Kill Bill เข้าก็เลยว่าจะไปดู (เมื่อตอนกลางวันไปเสิร์ช imdb เลยเพิ่งรู้ว่า Kill Bill มี 2 ภาค เดี๋ยวนี้พวกคนทำหนังเขาประหยัดโคตร... เลยนะ ทำหนังกันทีละสองภาค ลงทุนครั้งเดียวเก็บเกี่ยวกำไรสองรอบ ทำแบบนี้ประมาณว่าจะปิดประตูเจ๊ง แถมถ้าหนังฮิตนี่ก็รวยโลดเลยนะ หนังที่ทำทีละสองภาคก็อย่าง Matrix นั่นไง หรือ Lords of the Ring นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ทำทีเดียว 3 ภาคเลย)

เราคิดๆ ว่าอาจจะไปดู “บุปผาราตรี” ด้วยเหมือนกัน (บุปผาราตรี เป็นหนังไทยที่กำกับโดย ยุทธเลิศ ผู้กำกับ “กุมภาพันธ์” กับ “มือปืนโลกพระจันทร์” เราชอบกุมภาพันธ์และโอเคกับมือปืนฯ เพราะไม่ได้คาดหวังไว้มาก หนังก็ฮาๆ ดูแบบไม่ต้องคิดอะไร) เขาว่าเป็นหนังผี+ฮา ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไปดูเพราะกลัวหนังผีกับกลัวหนังตลกฝืด แต่ได้ยินคนมาพูดให้ฟังสองครั้งแล้วว่าฮาแตก... ก็เลยคิดว่าจะลองเสี่ยงดู ขนาดรีบซิ่งออกจากออฟฟิศแต่รถติด ไปไม่ทันดู Kill Bill ก็เลยไม่ต้องเลือก ได้ดูบุปผาราตรีโดยอัตโนมัติ

ตอนนี้ที่โรงหนังเขามีโปรโมชั่น จับฉลากแจกตั๋วหนังฟรีรอบละ 2 ที่นั่ง คราวที่แล้วที่เราไปดู Matrix เราก็คิดๆ อยู่ว่า เราน่าจะได้รางวัลเหมือนกัน เพราะรอบที่เราดูคนไม่เยอะปรากฏว่าอด... พอคราวนี้เราก็มานั่งไตร่ตรองว่า โชคเราหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเมื่อก่อนเราจะเป็นคนค่อนข้างมีโชคกับการจับฉลาก แต่ช่วงที่สามสี่ปีผ่านๆ มาดูโชคจะบินหนีออกหน้าต่างไปหมด งานปีใหม่ที่ออฟฟิศเรากลับบ้านมือเปล่ามา 2 ปีติดกันแล้ว ทั้งๆ ที่มีของรางวัลแจกตรึม คนอื่นๆ ได้กันแทบจะทั้งงาน อีกครั้งหนึ่งมีจับฉลากคอมพิวเตอร์เก่าๆ ที่ออฟฟิศ เราก็อดเหมือนกัน (ที่จริงมีจับฉลาก 2 ครั้ง 2 ปี 2000 ครั้งหนึ่งปีนี้ครั้งหนึ่ง เราแห้วทั้งสองรอบ) คนที่นั่งแถวเดียวกับเราได้กันหมดทั้งแถว เฮ้อ...

เราดูหนังแบบไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เพราะคนข้างๆ เอาแต่ฮาแตกกับสะดุ้งตกใจ แต่จะว่าไปเราก็ไม่อยากจะตั้งสมาธิเท่าไหร่เวลาดูหนังผี เพราะมันจะอินมาก ลุ้นมาก แล้วพอผีออกมาก็จะตกใจกลัวมาก เพราะฉะนั้นต้องพยายามดูไปแบบไม่อินไป กลัวจะกลัว กระทั่งแบบนี้ก็ยังมีสะดุ้งเหมือนกัน ตอนผีโผล่มาแบบ ผ่าง!!!! ออกมา เราได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า พร้อมกับเสียงคนข้างๆ ร้องจ๊าก เราก็เลยกลายเป็นตั้งสติได้ไม่ค่อยตกใจมาก ความจริงหนังเรื่องนี้ไม่น่าจะให้เด็กเข้ามาดูเลยนะ เพราะว่าพูดไม่เพราะ (เขามีคำเตือนตอนเริ่มหนังด้วยนะ ว่าคำพูดในหนังไม่สุภาพคนดูโปรดใช้วิจารณญาณ ไม่รู้ว่าทำแบบนี้เป็นการ “เลี่ยงบาลี” กับกองเซ็นเซอร์หรือเปล่า) แล้วก็มีฉากให้ตกใจบ่อยมากๆ

หนังจบแบบพอสอบผ่าน เพราะพล็อตเรื่องไม่มีอะไร เอาฮาเอาตกใจเป็นหลัก (แต่กว่าจะผ่านช่วงอืดๆ ตอนแรกๆ ก็เราก็ลุ้นแทบแย่) ถ้ามีเวลาอยากจะดูหนังที่ไม่ต้องคิดมากก็ไปดู แต่ถ้าไม่มีเวลาและต้องการจะดูหนังคุณภาพก็ข้ามเรื่องนี้ไปก็ได้

เราดูหนังจบออกมาใจก็ยังไม่วายลุ้นจับฉลากตัวฟรี ว่าจะหยิบตั๋วเราออกมาดูอีกรอบว่าเลขที่นั่งอะไรแน่ ยังไม่ทันได้หยิบออกจากกระเป๋าสตางค์ ได้ยินเจ้าหน้าที่เขาประกาศเลขที่นั่ง เลขที่นั่งเรานี่นา.. หยิบตั๋วมาดูอีกที เออ... ใช่จริงๆ ตอนไปรับรางวัลพนักงานถามว่า มาดูคนเดียวเหรอคะ เขาคงชวนคุยเฉยๆ เพราะรางวัลที่ได้เป็นตั๋วฟรี 2 ใบพร้อมข้าวโพด 1 ถุงและน้ำ 2 แก้ว คราวนี้เรามาดูหนังคนเดียว แต่คราวหน้าถ้ามาดูหนังฟรีคงหาเพื่อนมาดูด้วยได้ไม่ยากหรอกเนอะ...