Electronic Banking
เมื่อวานไปดู Kill Bill มา ไปซื้อตั๋วเสร็จก็มีเวลาเหลือก็เลยไปจัดการธุระ เอานาฬิกาไปเปลี่ยนถ่าน เมื่อก่อนเราเคยเอาไปเปลี่ยนที่ร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่าย แล้วถ่านหมดเร็วมาก ประมาณปีกว่าๆ เราแล้วพอเราจะไปเปลี่ยนอีกรอบหนึ่ง ช่างก็ไม่อยู่ (ร้านเปิดถึงสามทุ่ม แต่ช่างอยู่ถึงแค่สองทุ่มหรือไงเนี่ยแหละ) เขาให้เรามาวันอื่น พอดีเดินผ่านร้านที่เป็นตู้กระจก เราก็เลยเข้าไปถาม เขาแกะถ่านออกมาดูแล้วก็ถามว่า เราไปเปลี่ยนถ่านที่ไหนมา เขาเอาถ่านผิดสเป็คมาใส่ให้ นาฬิกาเราเป็นเครื่องแบบสวิต(เซอร์แลนด์ – ฟังดูหรูนะ แต่ที่จริงก็นาฬิกาเรือนละไม่เท่าไหร่ ไม่ใช่ยี่ห้อแท็กเถิกอะไรที่เรือนละเป็นหมื่นๆ) แต่เขาดันเอาถ่านญี่ปุ่นมาใส่ให้ ขนาดโวลต์มันจะต่างกันนิดหนึ่ง (จำตัวเลขไม่ได้แล้ว ประมาณว่าต่างกันที่เลขทศนิยม) คนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่ามันใช้แทนกันได้ ใช้แล้วถ่านหมดเร็ว แถมมันไม่ดีกับเครื่องด้วย ดีไม่ดีวงจรรวนอีกตะหาก (อ้าว... ทำไมช่างที่ร้านตัวแทนทำชุ่ยๆ กับเราแบบนี้ฟะ) เขาบอกว่าเขาเอาถ่านที่ถูกรุ่นใส่ให้ บอกว่าอยู่ได้ประมาณ 2-3 ปี เขาบริการดีแล้วฟังจากการพูดการจาก็ดูจะรู้เรื่องนาฬิกาดีพอสมควร ตั้งแต่นั้นมา เราก็เลยเป็นลูกค้าประจำกับร้านนี้

เปลี่ยนถ่านนาฬิกาเสร็จ เราก็ไปแวะเอาเงินเข้าบัญชีให้เพื่อนที่ธนาคารกรุงเทพ เดี๋ยวนี้ธนาคารต่างๆ เขาพากันมาเปิดสาขาในห้าง สะดวกดี คราวนี้เราไปธนาคารผิดเวลาไปหน่อย เพิ่งต้นเดือน เงินเดือนออก คนก็มาฝากเงินถอนเงินจ่ายค่าอะไรต่ออะไรกัน เราชอบใช้บริการตู้อัตโนมัติเพราะมันเร็วดี ตอนเราไปถึงมีคนรอคิวประมาณสิบกว่าคน ส่วนคิวที่ไปใช้บริการกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ยาวกว่าเกือบสองเท่า เราก็เลยเข้าคิวเครื่องอัตโนมัติ ปรากฏว่าการเป็นคนที่สิบกว่าทำให้เรารออยู่ประมาณ 40 นาทีถึงจะได้ใช้บริการ นานอย่างไม่น่าเชื่อ

เราพบว่าจุดบอดก็คือ ช่วงรอระหว่างแต่ละ Transaction มันนานมากๆ พอดีไม่ได้จับเวลาอย่างละเอียด แต่คิดว่าไม่ต่ำกว่า 2 นาที คิดดูสิ สองนาทีคูณสิบกว่าคนก็ปาเข้าไปยี่สิบกว่านาที ตลอดเวลาสิ่สิบนาทีที่เรารอ เรารอให้เครื่องมันหยุดเปล่าๆ ไม่ทำงานอะไรซะครึ่งหนึ่ง (เอ๊ะ หรือว่ามันจะทำอะไร เป็นต้นว่ากำลัง “คิด” อยู่) รอไปก็มองดูแต่ละคนที่ยืนรอหน้าเครื่องด้วยใจระทึก ว่าเมื่อไหร่จะมีข้อความขึ้นมาบนหน้าจอให้เริ่มทำรายการแล้วก็ให้หงุดหงิดระคนสงสัย ไหนๆ ธนาคารอุตส่าห์ลงทุนซื้อเครื่องมาบริการให้ความสะดวกกับลูกค้า (ธนาคารชอบพูดแบบนี้ เพื่อเอาความดีเข้าตัวแต่ฝ่ายเดียว ในความเป็นจริงธนาคารให้ความสะดวกลูกค้า แต่ก็ได้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมาบริการด้วย) ทำไมไม่ซื้อเครื่องที่มันมีประสิทธิภาพดีกว่านี้หน่อย (แต่บอกตรงๆ ว่า เราไม่คิดว่ามันเป็นที่เครื่องหรอก เราคิดว่าเป็นที่การตั้งค่าต่างๆ มากกว่า อยากให้มีคนไปติดตามดูผล สังเกตการทำงานของมันหน่อย เครื่องใหม่หรูดูงามตาขนาดนั้นไม่น่าจะโง่ – จนเวลาจะทำรายการซักทีต้องคิดนานๆ ขนาดนั้น) กว่าเราจะได้ฝากเงิน ปรากฏว่าคนที่รออยู่ที่มาคิวพร้อมๆ กับเราแต่ต่อคิวที่ไปใช้บริการกับพนักงานเขาไปกันหมดแล้ว ตกลงที่คิดว่าจะเร็วกลับช้าไปกันใหญ่

เราบ่นเรื่องธนาคารต่ออีกหน่อย เราสังเกตว่าสาขาย่อยตามห้างของธนาคารกรุงเทพเนี่ย เขาจะมีตู้อัตโนมัติอยู่ 3 ตู้ คือ ตู้เอทีเอ็ม ตู้รับฝากเงินสดอัตโนมัติ และตู้รับฝากเช็ค/ชำระเงินต่างๆ ตู้สุดท้ายนี่ดูจะมีคนใช้บริการน้อยมาก เพราะมันจำกัดแค่การฝากเช็คกับชำระเงินพวกค่าสาธารณูปโภคหรือบัตรเครดิตต่างๆ (และแม้แต่การฝากเช็ค ก็ยังมีข้อจำกัดเยอะ แบบนี้โน้นไม่รับฝาก แบบนี้ก็ฝากไม่ได้ เราอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ จนสงสัยว่าตกลงมันจะเป็นเครื่องรับฝากจริงหรือเปล่า(วะ) หรือว่าหลอกกันเล่น) เราดูแล้ว ปริมาณคนใช้บริการไม่เห็นจะคุ้มต่อการลงทุนเลย ติดเป็นตู้รับฝากเงินสดหรือตู้เอทีเอ็มเพิ่มซะยังน่าจะดีกว่า

ส่วนตู้เอทีเอ็มที่มีอยู่ เราก็คิดว่ายังไม่ดีพอ เพราะใช้ได้แค่ถอนเงินกับโอนเงิน ถ้ามันสามารถรับฝากเงินได้ด้วยจะทำให้เราไม่ต้องรอนานขนาดนี้ เราไม่แน่ใจว่าสมัยนี้ยังมีตู้เอทีเอ็มแบบฝากเงินได้อยู่หรือเปล่า เมื่อวานที่เราเห็นตู้เอทีเอ็มทำรายการได้เร็วกว่าตู้ฝากเงินสดเยอะ (คือระยะเวลาที่รอระหว่างแต่ละ Transaction สั้นกว่ามาก อาจจะเป็นเพราะการอ่านรายละเอียดจากแถบแม่เหล็กทำให้เครื่องมัน “คิด” ได้เร็วขึ้น) มีคนหลายคนที่มีบัตรเอทีเอ็มแต่ต้องการฝากเงินสดก็เลยต้องมาต่อคิวที่เครื่องฝากเงินสด ปรากฏว่ามีตู้เอทีเอ็มกับตู้รับฝากเช็คยืนว่างๆ อยู่ แล้วคนก็มาล้นอยู่ที่ตู้รับฝากเงินสด แถมต้องรอนาน 2-3 นาทีกว่าเครื่องจะพร้อมให้บริการมันก็ยิ่งช้าไปกันใหญ่

เท่าที่เรารู้ธนาคารกรุงเทพยังไม่ได้ ISO ไม่งั้นเราจะส่งจดหมายไปโวยให้เขาแก้ไข ที่จะโวยเฉพาะธนาคารที่ได้ ISO เพราะจะได้มีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงซักหน่อย (หรือถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็มีการ “บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร”) ไม่งั้นบ่นไปก็เงียบหายเหมือนอย่างที่เราเคยส่งอีเมล์ไปบ่นเรื่องตู้ฝากเงินสดอัตโนมัติของธนาคารไทยพาณิชย์ไป เราโวยว่าไปใช้บริการทีไร ก็เห็นขึ้นหน้าจอว่า “งดให้บริการชั่วคราว” ทุกที จนเราสงสัยว่าที่เขาเขียนว่าให้บริการสะดวกตลอด 24 ชั่วโมงนั่น แล้วตอนที่เราไปใช้บริการมันเป็นชั่วโมงที่ 25 หรือไง เราเดาเอาเองว่า ถ้าเป็นบริษัทที่ได้ ISO เขาน่าจะบอกว่า “งดให้บริการชั่วคราว – จะสามารถให้บริการอีกครั้งภายใน 30 นาที” หรือภายในเวลากี่โมงก็ว่าไป อย่างน้อยคนจะได้รู้ว่าตกลงเครื่องมันให้บริการได้จริงๆ ไม่ได้ตั้งไว้เป็นอนุสาวรีย์

Kill Bill Vol. 1

บ่นเรื่องธนาคารซะยาว มาเมาธ์เรื่องหนังซักหน่อยดีกว่า Kill Bill เป็นหนังเรื่องที่ 4 ของ Quentin Tarantino เขาเขียนเรื่องเองกำกับเอง ยังไม่ทิ้งสไตล์เดิมของหนังที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและดังมากๆ อย่าง Reservoir Dogs กับ Pulp Fiction ตามประวัติรู้สึกว่า Quentin จะเป็นแฟนหนังฮ่องกงและหนังเกรดบีที่บู๊ล้างผลาญและเลือดท่วมจอ (ถ้าจำไม่ผิดเขาเคยทำงานในร้านให้เช่าวิดีโอ – สวรรค์ย่อมๆ ของคนรักหนัง) หนังที่เขาทำก็เลยวนเวียนอยู่ในแวดวงนักฆ่ามาเฟียอยู่ร่ำไป

เคว็นตินได้ชื่อว่าเป็นคนที่เล่าเรื่องตามลำดับไม่เป็น หนังสองเรื่องของเขาเล่าเรื่องสลับไปสลับมาจนไม่รู้ว่าตอนไหนตอนต้นตอนไหนตอนท้าย (ดูหนังจบต้องออกมานั่งเรียงลำดับเรื่องใหม่เพื่อความเข้าใจ) สร้างความโดดเด่นให้เขาจน Pulp Fiction ได้ชิงรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (แม้แต่บทหนังที่เขาเขียนเองแต่ไม่ได้สร้างและกำกับอย่าง True Romance ก็ยังเขียนไว้เป็นเรื่องเล่าที่สลับเวลาไปมา แต่คนที่เอาบทหนังไปทำคือพี่น้องตระกูล Scott เอาไปเรียงลำดับใหม่ซะเกือบหมดเอกลักษณ์ของเคว็นติน ที่ยังพอเหลือร่องรอยไว้ก็คือปริมาณเลือดที่ทะลักท่วมจอ)

สำหรับเรา Kill Bill ไม่โดดเด่นเท่ากับสองเรื่องแรก (เผอิญเราไม่ได้ดูหนังเรื่องที่ 3 ของเขา Jackie Brown เลยเปรียบเทียบแค่ 2 เรื่อง) คราวนี้แทนที่จะมีฉากยิงกันสนั่นเมืองแบบหนังฮ่องกง (นึกถึงฉากคลาสสิกจาก Reservoir Dogs ที่เราไม่แน่ใจว่าพี่เคว็นไปก็อปปี้หนังฮ่องกงมาหรือเปล่า คือ ฉากที่มีการเล็งปืนจ่อขมับต่อกันเป็นวงกลม แบบเอ็งยิงข้า ข้าจะยิงหัวหน้าเอ็งอะไรทำนองนั้น – หลังๆ นี้เห็นบ่อยขึ้นอย่างล่าสุดก็ใน เมตริกซ์ เรฟโวลูชั่น นั่นไง) กลับกลายเป็นการร่ายรำดาบแบบซามูไรญี่ปุ่น ปริมาณเลือดและผู้เสียชีวิตน่าจะทำลายสถิติเรื่องที่ผ่านๆ มา (คงได้ซัก 10 ขวดซอสไฮน์ซ ตาม Rating ของนิตยสารหนังของอังกฤษที่ชื่อ Empire – เขาชอบทำคอลัมน์พิเศษขึ้นมารวบรวมหนังสไตล์เดียวกันมาให้คะแนน ตอนที่เป็นชุดหนังโหดเลือดท่วมเขาจอให้คะแนนเป็นซอสไฮน์ซ ใช้แทนปริมาณเลือดเทียมที่ใช้ในหนัง) มีเลือดพุ่งเป็นน้ำพุอยู่หลายฉาก สมควรแล้วที่หนังได้เรท R

พี่เคว็นยังอดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องไม่ตามลำดับ แต่เท่าที่ดูจบไป พี่เขาคงกลัวคนดูจะว่ามุขเฝือ ก็เลยสลับเรื่องแบบพอหอมปากหอมคอ ไม่แน่ใจว่าภาค 2 ออกมาจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์หรือเปล่า (ลืมบอกไปว่า Kill Bill มี 2 ภาค เป็นหนังที่มีภาคต่อทำนองเดียวกับ The Lord of the Rings คือตัดกันกลางเรื่องเหมือนพัก Intermission มากกว่าจะเป็นภาคต่อแบบเดิมๆ)

ปกติเราดูหนังพี่เคว็นเราจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนช่างคิด จะชอบมีบทสนทนาที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องแต่รู้สึกว่าฉลาดๆ (อย่างใน Reservoir Dogs มีเขาบ่นเรื่องทิป) แต่มาคราวนี้เราไม่เห็นอะไรที่โดดเด่น มีบางตอนที่เราขำๆ ด้วยซ้ำ อย่างเช่น นางเอกจำได้ว่าตอนที่โดนรุมสกรัม มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แล้วหนึ่งในคนที่ร่วมในเหตุการณ์ก็คุยโทรศัพท์อย่างธรรมดาๆ (ประมาณว่า กูจะตายอยู่แล้ว มึงยังไม่อนาทรร้อนใจ เลือดเย็นขนาดนั้น) นางเอกจำริงโทนของคนนี้ได้ ต่อมาสี่ปีผ่านไปนางเอกบินข้ามประเทศไปล้างแค้น ผู้ร้ายคนนี้ยังใช้ริงโทนเสียงเดิม โอ... มายก็อด ช่วงเวลาสี่ปีเปลี่ยนโทรศัพท์ไปกี่เครื่องแล้ว ไม่เบื่อริงโทนเดิมๆ บ้างรึไง

ตอนจบภาคนี้เขาทิ้งท้ายไว้เชยๆ ว่านางเอก ** ด้วย (เซ็นเซอร์ – เผื่อคนที่ยังไม่ได้ดูมาอ่านจะได้ไม่ Spoil หนังมากเกินไป 555) เราว่าหนังไม่ค่อยสนุกเท่าที่คิด แต่ก็คงดูภาคสองอยู่ดี ต้องทำภารกิจให้เสร็จสิ้นไม่อยากให้ค้างคาไว้...