ภูหลวงอย่างเดียว (ยาวมาก... ขอบอก)
เราไปเลยแค่สามวัน กลับมาถึงเจอสมาชิกทั้งหลายอัพเดทไดอารี่กันมือเป็นระวิง (โดยเฉพาะ “จำนวนเฉพาะ” อัพเดทซะยาวเชียว) ความจริงอ่านๆ แล้วอยากจะคอมเมนต์ยาวๆ แต่เกสต์บุ๊กไม่ค่อยเป็นใจ เซ็นไปคนหนึ่งก็ต้องรอ รอนานๆ เดี๋ยวจะโดนทอม “ชวนคุย” เรื่องใช้อินเตอร์เน็ตที่ไม่เกี่ยวกะงานอีก จะเอามาเขียนตอบในไดฯของเรา ก็ไม่รู้จะเขียนยังไง มันกระจัดกระจายยังไงชอบกล (ความเห็นของเราอ่ะนะ) เอาเป็นว่าเดี๋ยวนัดมากินข้าวแล้วถกกันซึ่งๆ หน้าดีกว่า ว่าแล้วเราก็กลับมาที่ภาระกิจของเราดีกว่า ก็มาเล่าเรื่องไปเที่ยวภูหลวงไง... เนอะ (สำหรับ “คนที่ไม่ค่อยอัพเดทได” เราขอบอกว่า วันนี้อิ่มแน่นอน ส่วนคนที่ไม่อยากอิ่มเกินค่อยๆ อ่านไปซัก 2-3 ช่วงแล้วไปพักกินขนมก่อนก็ได้นะ 555)

ออกเดินทาง

อย่างที่บอกไปว่ารถออกแถวๆ ที่ทำงานเราตอน 4 ทุ่ม เรากะว่าจะไม่กลับไปที่คอนโดก็เลยเอากระเป๋าเสื้อผ้าใส่รถมาตั้งแต่ตอนเช้า แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจ กลับไปเอารองเท้าผ้าใบที่แม่ไอโกะอุตส่าห์เจียดเวลาแวะเอามาคืน กับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า (ตอนแรกกะจะอาบแห้ง :P) รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ เราออกจากคอนโดทุ่มสี่สิบห้า มีเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ น่าจะเหลือเฟือ แต่พอไปถึงด่านทางด่วนขั้นที่สองตรงข้างทางลงสะพานพระรามเก้า มองเลยด่านเก็บตังค์ไปเห็นรถติดเต็มทุกช่องทางยาวลงมาเกือบถึงเชิงสะพานพระรามเก้า เราคิดว่าถ้าเข้าไปต่อหางแถวคงไปไม่ทันเวลาแน่ เลยตัดสินใจเลี้ยวรถออก ใจเริ่มจะเสียหน่อยๆ อุตส่าห์ตั้งใจจะไปเที่ยวจะไปไม่ทันเพราะรถติดเสียแล้วหรือ

เราฟังวิทยุจราจรก็ไม่มีรายงานเส้นทาง ก็เลยโทรไปหาแม่ไอโกะให้ช่วยหาเบอร์จส. 100 (1137 เคยได้ยินบ่อยๆ แต่ไม่เคยคิดว่าจะใช้บริการก็เลยไม่จำใส่ใจ) โทรไปถามเส้นทาง เขาบอกว่าทางด่วนขั้นที่หนึ่งพอไปได้ เราก็เลยกระดึ๊บๆ ไปขึ้นทางด่วนขั้นที่หนึ่งตรงหน้าเซ็นทรัลพระราม 3 (ระยะทางนิดเดียว ใช้เวลายี่สิบกว่านาที ระหว่างนี้เริ่มรู้สึกปวดท้องเพราะความเครียดทำให้เกิดแกส) ขึ้นทางด่วนได้รถก็เคลื่อนตัวช้าๆ ไปได้เรื่อยๆ ระหว่างที่ขับก็ฟังรายงานจราจรไปด้วย ทางด่วนขั้นที่สองติดเต็มพื้นที่ไปจนถึงหมอชิต 2 บริเวณรอบๆ ก็ติด(วินาศสันตะโร)เหมือนกัน สรุปได้ว่าคนออกต่างจังหวัดเยอะ แต่ใช้ระบบขนส่งมวลชนมากกว่าขับรถไปเอง (ทางด่วนขั้นที่หนึ่งไปทางดินแดง-ถนนวิภาวดีเลยไม่ติดมาก)

เราเอารถไปจอดไว้ที่ทำงานแล้วก็เรียกแท็กซี่ไปจุดนัดหมาย (ปั๊มน้ำมันข้างตึกชินวัตร 3) ตอนแรกแท็กซี่ทำท่าไม่อยากจะรับ เพราะเห็นเราหอบกระเป๋าพะรุงพะรัง เขาบอกว่า “กลัวหมอชิตน่ะครับ ไปติดอยู่เกือบสามชั่วโมง นี่เพิ่งหลุดออกมาได้” เราไปถึงที่นัดสามทุ่มยังไม่มีใครมาก็ชักหวั่นใจ โทรไปหาต่าย (ซึ่งทำหน้าที่เหรัญญิก+ผู้จัดการทริปหมายเลข 2 ผู้จัดการทริปหมายเลข 1 คือ แอ๊ด ซึ่งเป็นคนจองบ้านพัก+จองรถทัวร์ พี่ชายแอ๊ดเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่อุทยาน) ปรากฏเขาอยู่ที่ตึกชิน 3 บอกว่าเดี๋ยวจะเดินมา ซักพักคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยกันมา รถทัวร์มารับตอนสี่ทุ่ม มีคนไปทั้งหมด 22 คน + เด็ก 1 คน (ลูกสาวแอ๊ด) มีคนพา “ผู้ติดตาม” ไปด้วย เราเพิ่งได้รู้จากทริปนี้ว่าคนที่เรียนด้วยกันได้แปรความสัมพันธ์จากเพื่อนไป “เป็นอื่น” 2 คู่ แสดงว่าที่มีคนพูดว่าไปเรียนปริญญาโทเพื่อสร้างโอกาสก็เป็นจริงได้เหมือนกัน

รถแวะให้กินข้าวต้มที่สีคิ้ว (เราไม่หิว เลยไม่ลงไปกิน) แล้วก็วิ่งรวดเดียวไปถึงผานกเค้าตอนตีห้ากว่าๆ (ผานกเค้าคือจุดจอดรถทัวร์สำหรับคนที่ไปภูกระดึง) รถทัวร์ต้องไปส่งเราที่ภูหลวง แต่พวกเราแวะเข้าห้องน้ำ กินกาแฟ ซื้อหมวกไหมพรมไอ้โม่ง-ถุงมือกัน อากาศเย็นไม่ได้เย็นจนหนาวสั่น แต่ก็ต้องเอาแจ็กเก็ตมาใส่ ต่ายกับแอ๊ดบอกว่าให้กินข้าวเช้ากันตรงนี้เลย ที่ร้านข้าวแกงที่นั่งเต็มแบบต้องยืนรอเก้าอี้ว่าง บางคนเลยไปสั่งข้าวต้มมากินที่ร้านกาแฟ เราว่ามันยังเช้าไปหน่อยก็เลยกินแต่กาแฟ

ถึงภูหลวง

ประมาณหกโมงกว่า ถึงได้ออกเดินทางรอบสองจากผานกเค้าไปภูหลวง กว่าจะไปถึงเกือบๆ แปดโมง ปรากฏว่าพี่ชายของแอ๊ดเตรียมข้าวต้มไว้ให้ด้วย ระหว่างที่กินข้าวต้ม แอ๊ดก็ไปคุยวางแผนเที่ยว พี่ชายแอ๊ดแนะนำว่าให้เดินขึ้นภูหลวง ระยะทางเดินประมาณ 7-8 กม. แต่ว่าไม่ลำบาก เพราะลูกสาวเขาซึ่งอายุ 7-8 ขวบ ยังเคยเดินขึ้นตั้งหลายรอบ พวกเราไปเที่ยวกันแบบไม่ได้ทำการบ้านล่วงหน้ามาก่อน เลยยังลังเลไม่รู้จะเอายังไง สุดท้ายก็เลยบอกว่าขึ้นไปที่บ้านพักที่จองไว้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที พี่ชายแอ๊ดมีรถกะบะให้ 2 คันสำหรับขนพวกเรา มีเจ้าหน้าที่อุทยานที่แต่งตัวชุดพรางมีปืนครบคน(ดูแล้วเหมือนทหารจะไปออกรบ)นั่งรถไปอีกคันหนึ่งพร้อมกับสัมภาระของพวกเรา

พวกเราต้องนั่งรถไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเพราะต้องอ้อมเขาไปที่ทางขึ้นภูอีกด้านหนึ่ง (หน่วยพิทักษ์ป่าโคกนกกระบา) นั่งรถกระบะท้ายลมหนาวตีหน้าชาไปหมด แถมถนนช่วงทางเข้าอุทยาน (ประมาณ 20 กม) เป็นทางขึ้นบางช่วงเป็นลูกรังกว่าจะไปถึงก็มอมฝุ่น เราเพิ่งรู้ตอนผ่านด่านทางเข้าว่า อุทยานภูหลวงปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาตั้งแต่ปี 2542 ที่พวกเราได้ไปเที่ยวก็เพราะ “ใช้เส้น” ของพี่ชายแอ๊ด ไปถึงข้างบนตอนสิบเอ็ดโมง เช็คอุณหภูมิได้ 17 องศาเซลเซียส มีลมเล็กน้อย

ไปโหล่นแต้ 6 กิโล

พวกเราก็ถามๆ กันว่าตกลงจะเดินขึ้นภูดีไหม (มารู้ทีหลังเขาเรียกว่า หน่วยพิทักษ์ป่าโหล่นแต้) ถามๆ ดู เขาบอกว่าเดินประมาณ 6 กิโลก็เลยว่าจะเดินกัน แต่มีบางคนท้วงว่าไม่น่าเดิน เพราะไปได้ยินมาว่าใช้เวลาเดิน 5 ชั่วโมง (เดินยังไงวะ 6 กิโล 5 ชั่วโมง ทางขึ้นเขาหรือเปล่า) ทางไม่ลำบากหรอกเป็นทางราบๆ เด็กๆ ยังเดินได้เลย ฯลฯ

สุดท้ายไม่มีใครได้ข้อมูลที่แน่นอน แต่ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจแบบไม่เป็นทางการว่าจะเดินขึ้นภู ต่างคนรับผิดชอบกระเป๋าตัวเองและแบ่งเสบียงที่ตุนมาเยอะแยะไปช่วยกันถือ เรามีเป้สะพายหลังกับกระเป๋าเสื้อผ้า ก็แบ่งขนมกับหนังสือเพลงมาใส่กระเป๋าเสื้อผ้า ก่อนออกเดินทางก็รอรับแจกข้าวห่อเพราะเขาบอกว่าให้ไปแวะกินข้าวกลางวันระหว่างทาง เจ้าหน้าที่ชุดพรางเห็นบางคนหอบขนุกขนมน้ำดื่มเยอะมาก ก็บอกว่าอย่าหอบไปมากเลย เดี๋ยวจะไม่ไหว ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ ต่างคนต่างก็ถือของกันขันแข็ง (เดินแค่ 6 กิโลไง ทางก็ราบๆ ไม่ลำบากหนิ) เจ้าหน้าที่ชุดพรางออกเดินนำ เราเดินตามเป็นกลุ่มแรกๆ มีเราพี่อี๊ด พี่เชษฐ์

ตอนแรกเราก็เดินเรื่อยๆ อากาศเย็น มีแดดนิดหน่อย แต่พอเดินไปซักครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเหงื่อซึมต้องถอดเสื้อสเว็ตเตอร์มาผูกเอว ทางเดินเป็นทางราบๆ ก็จริง แต่แคบเดินได้ทีละคน ผ่านต้นไม้พงหญ้าบางช่วงพุ่มไม้สูงท่วมหัวและแคบจนต้องเอามือแหวก เดินไปก็มองหลังคนข้างหน้ากับก้มดูทาง ดูวิวไม่ค่อยได้เพราะจะสะดุดกิ่งไม้ เราพักกินข้าวกลางวันตอนเที่ยงกว่าๆ แล้วก็เดินต่อ เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักกินน้ำ แล้วก็เดินๆๆๆๆ สองชั่วโมงผ่าน ถามเจ้าหน้าที่ชุดพรางเขาก็บอกแต่ว่าอีกนิดเดียว สามชั่วโมงผ่านไป ขาเราจากเมื่อยเป็นปวด จากปวดเป็นล้า กระเป๋าเสื้อผ้าที่สะพายตอนแรกเบาๆ ก็เริ่มหนักและเกะกะจนต้องอุ้มไว้แนบตัว สุดท้ายเราก็เริ่มเชื่อว่าคงต้องเดิน 5 ชั่วโมงจริงๆ คิดปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยทางเดินก็ไม่ลำบากเท่าไหร่ ปรากฏว่าสรุปเร็วเกินไป

กลุ่มเราเดินไปทันกับอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังพักกินน้ำ เขาบอกว่าข้างหน้าเป็นทางลงเขาประมาณ 2 กิโล บอกให้พี่เชษฐ์ทิ้งน้ำดื่ม 2 แกลลอนที่แบกมาไว้ในพุ่มไม้จะดีกว่า จะได้ไม่เปลืองแรงและเก็บไว้กินตอนขากลับ แอ๊ดเอากระเป๋าเราไปให้เจ้าหน้าชุดพรางช่วยถือ ตอนแรกเราก็เกรงใจ แต่พอได้เดินลงเขามาได้ซักครึ่งชั่วโมงก็ดีใจที่ไม่ดันทุรังจะถือกระเป๋าเอง ทางเดินลงเขาไม่ลำบากมากแต่ความที่ขามันล้าสุดๆ แล้ว ก้าวข้ามขอนไม้ไม่พ้นก็เตะมันซะเลย เดินไปดูนาฬิกาไปด้วยความหวังว่าครบ 5 ชั่วโมงเมื่อไหร่ก็คงถึง ตอนหลังๆ นี้เราเดินมาทันแอ๊ดกับแฟน แฟนเขาเจ็บนิ้วเท้าเพราะต้องเดินจิกเท้าตอนลงเขา ก็เลยเดินกันช้าๆ เราก็เบาใจไปหน่อย เพราะเหนื่อยแล้วเหมือนกัน

พ้นจากทางลงเขาก็เดินทางราบอีกสิบกว่านาที มองเห็นเสาอากาศอยู่ไกลๆ ก็นึกว่าถึงที่พักแล้ว แต่ปรากฏว่าเป็นลานที่เขาให้นักท่องเที่ยวกางเต๊นท์นอนสมัยที่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว บ้านที่เราจะไปพักต้องเดินต่ออีก... จนในที่สุดก็เห็นหลังคาบ้านพัก ถอนหายใจโล่งออกมาด้วยความดีใจ แต่พอเดินพ้นพุ่มไม้มาก็ร้องเฮ้ยในใจดังๆ ยังมีด่านทางวิบากอันสุดท้าย ต้องเดินบนท่อนซุงข้ามลำธาร ถ้าเป็นปกติก็ไม่มีอะไร แต่นี่เดินสับขาไม่ได้หยุดมาห้าชั่วโมงกว่า แค่หยุดยืนเฉยๆ ก็ขาสั่นแล้ว ให้เดินบนท่อนซุงนี่ทำกันเกินไป แต่สุดท้ายก็เดินข้ามลำธารกันได้ทุกคน เราเริ่มออกเดิน 11:40 น. ถึงที่พักที่โหล่นแต้ 16:50 น. เวลาเดินรวมห้าชั่วโมงสิบนาที เป็นกลุ่มแรกที่ไปถึง (แต่ก็ยังถึงทีหลังพวกหลานๆ กับพี่ๆ ญาติๆ ของแอ๊ด – แต่ปกติพวกเจ้าหน้าที่ชุดพรางเขาใช้เวลาเดินกันแค่ 3 ชั่วโมง – เราถามระยะทางรวมแบบไม่โกหก เขาบอกว่า 16 กิโล) กลุ่มสุดท้ายมาถึงประมาณ 17:45 น. ฟ้าเริ่มมืดและอากาศเริ่มเย็น เวลาพูดก็จะมีไอขาวๆ ออกมาจากปาก

ปิดท้ายวันแรก

บ้านพักมีห้องนอนเล็กที่จัดให้เด็กๆ กับญาติแอ๊ดนอนกับที่โล่งๆ นอกห้องที่พวกเรานอน เจ้าหน้าที่เอาฟูกกับผ้านวม(เก่าๆ และมีกลิ่นเล็กน้อย)มาให้เยอะจนเกินพอ มีห้องน้ำห้องเดียวก็เลยให้ผู้หญิงใช้ ส่วนผู้ชายให้ไปอาบน้ำที่ลำธาร เราอาบน้ำสระผมแบบด่วนที่สุด เพราะน้ำเย็นเจี๊ยบยังกะมีน้ำแข็งก้อนใหญ่แช่อยู่ ราดน้ำลงไปตรงไหนตรงนั้นก็ชา พวกผู้ชายที่ไปอาบน้ำที่ลำธารกลับมาบอกต่อๆ กันว่าหนาวชิบ-าย ลงไปแช่แล้วต้องรีบขึ้นมาเพราะขาชาจนปวด มีคนตั้งชื่อให้ว่า สายน้ำแห่งเยาว์วัย ซึ่งมาเฉลยทีหลังว่าแช่น้ำลงไปแล้วกลายเป็นเด็กกันหมด :P อาบน้ำเสร็จก็รอกินข้าว คนอื่นๆ ไปเล่นกีตาร์ร้องเพลงรอ ส่วนเราก็แอบมาเอนหลัง ที่บอกว่าจะอ่านหนังสือก็อ่านไม่ได้ เพราะไม่มีไฟฟ้า (แป่วววว) ขนาดพวกที่เล่นกีตาร์ก็ยังต้องจุดเทียนใช้ไฟฉายส่องกัน

เจ้าหน้าที่ชุดพรางเป็นคนทำกับข้าวให้พวกเรากิน (จ่ายค่าอาหารให้เขา) ตอนกลางวันกินข้าวกระเพราไข่ดาวกับส้ม 1 ลูก มื้อเย็นเป็นกะเพราไม่มีไข่ดาวกับผัดกะหล่ำปลี อร่อยดี (เพราะหิวกันสุดๆ) ข้าวสวยมีกลิ่นควันไฟและเหนียวเล็กน้อยเพราะใช้ฟืนและหุงโดยใช้หวดข้าวเหนียว ระหว่างกินข้าวมีคนถามถึงกิจกรรมวันรุ่งขึ้น เช่น ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เราคิดว่าพระอาทิตย์ก็ดวงเดียวกัน เรารอดูตอนเที่ยงๆ ก็ได้ แต่สรุปก็ไม่มีใครอารมณ์จะตื่นแต่มืดมาเดินหลังจากเดินมาแล้ว 16 กิโล กินข้าวเสร็จก็มีกิจกรรม (กินเหล้า เล่นกีตาร์ ร้องเพลง) รอบกองไฟเพราะในบ้านมืดมากๆ (แต่นอกบ้านสว่างเพราะเป็นข้างขึ้น พระจันทร์ดูสว่างมาก เพราะไม่มีแสงไฟมาแข่ง) เราและอีกหลายๆ คนตัดสินใจเข้านอน เรากินยาแก้ปวดที่พี่น้อยเตรียมมา (พี่น้อยจบเภสัชฯและเป็นเจ้าของร้านยา แล้วก็มาเรียนไอที) แล้วก็เข้านอนตอนสองทุ่ม

วันที่สอง

วันที่สองตื่นกันตอนเจ็ดโมง ล้างหน้าล้างตา กินกาแฟ กินข้าวต้ม แล้วก็จะไปเดินเที่ยวกัน คราวนี้ทุกคนถามคาดคั้นแบบต้องรู้ให้ได้ว่าจะต้องเดินกี่กิโล เจ้าหน้าที่บอกว่ามีแบบเดินรอบใหญ่ไปหลายที่ ต้องเดินทั้งวัน (ไม่เอาเด็ดขาด) กับเดินใกล้ๆ ไปผาโหล่นแต้ ประมาณชั่วโมงกว่าๆ (เอาอันนี้ละกัน) มีบางคนที่สะบักสะบอมมาจากเมื่อวาน (เท้าพองเพราะรองเท้ากัด หรือยังเหนื่อยไม่หาย) ก็สมัครใจจะนอนอยู่กับบ้าน ก็ออกเดินกันตอนเก้าโมงครึ่ง ด้วยความเข็ดขยาดทุกคนกำจัดสัมภาระกันหมด เหลือไว้แต่น้ำดื่มขวดเดียวกับกล้องถ่ายรูป เราสะพายเป้ไปยังมีคนทักว่าไม่จำเป็น แต่เราก็เอาขนมกรอบๆ ใส่เป้ไปด้วย 4-5 ห่อ

มีเจ้าหน้าที่ชุดพราง 2 คนกับหมาหนึ่งตัว (ชื่อกี้) เป็นผู้นำทาง คราวนี้เดินไม่ไกลจริงๆ แค่ประมาณ 4 กิโล เดินแค่ชั่วโมงกว่าๆ แต่ไปถึงก็แล้วไม่ค่อยมีอะไร (แต่เราก็ไม่ได้ผิดหวังหรอกนะ ถือว่าเป็นกิจกรรมฆ่าเวลา ดีกว่าเดินมาตั้งไกลแล้วมานอนแกร่วอยู่ที่บ้านพัก) เป็นหน้าผาที่มองไปด้านหน้าจะเห็นภูกระดึงอยู่ไกลๆ พอมองย้อนกลับมาก็จะเห็นภูเขาลูกที่เราเดินข้ามมาตอนมาถึงวันแรก เลยได้เห็นชัดๆ ว่าทำไมต้องเดินถึง 5 ชั่วโมง ก็เดินข้ามเขาตั้งลูกหนึ่งอ่ะนะ พวกเราเตร็ดเตร่ถ่ายรูปอยู่ที่ผาโหล่นแต้ รอให้เจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งเอาข้าวกลางวันมาส่ง เป็นข้าวผัดหมู กินข้าวเสร็จเขาก็ถามว่าจะไปเที่ยวกันต่อไหม เขาจะพาไปบ่อทรายร้อง (มีทรายที่หยิบขึ้นมาถูๆ แล้วมันจะมีเสียง) พอถามว่าเดินไกลไหม เขาบอกว่า 10 กิโล เราบอกกับตัวเองว่าใครจะไปก็ไปเถอะ เราจะกลับไปนอนอ่านหนังสือที่บ้านพัก ตอนแรกมีคนจะไปกันเยอะ แต่พอคุยไปคุยมา เดินไป 10 กิโล กลับอีก 10 กิโล แล้วพรุ่งนี้ต้องเดินกลับไปโคกนกระบาอีก 16 กิโล เปลี่ยนใจดีกว่า เจ้าหน้าที่เลยบอกว่างั้นจะพาไปน้ำตกก็แล้วกัน เลยจากบ้านพักไปแค่ 900 เมตรเอง

ระหว่างเดินกลับบ้านพัก เราเดินตามเจ้าหน้าที่ที่นำทาง เขาก็ชวนคุยว่า มาเที่ยวเขาบ่อยไหม ไปไหนมาบ้าง เราบอกว่าไม่ค่อยได้เที่ยวเขาหรอก ส่วนมากไปทะเล เขาบอกว่าไปทะเลสบายกว่า (ก็ใช่นะสิ) แต่จริงๆ เที่ยวห้างล่ะสบายที่สุด (อ้าว แหม... ตาคนนี้นี่เอง – ก่อนหน้านี้มีน้องชื่อเปิ้ลเล่าให้เราฟังว่า ตอนที่เขาเดินวันแรก เจ้าหน้าที่ที่ช่วยถือของถามว่า มาเที่ยวแบบนี้ทำไม ลำบากจะตาย ทำไมไม่ไปเที่ยวห้าง เปิ้ลตอบไม่ถูกอ้าปากค้างไปเลย) เราชวนคุยเรื่องน้ำตกใกล้ๆ ที่พักว่าแค่ 900 เมตร เป็นการหยั่งเชิง คิดว่าถ้าแค่นั้นจริงก็จะลองไปดู เขาทำหน้างงๆ แล้วบอกว่าน่าจะประมาณ 2 กิโลกว่า เราเลยตัดสินใจได้แม่นมั่นว่าไม่ไปแน่นอน

ไปน้ำตก 900 เมตร

พอถึงบ้านพัก คนอื่นๆ ก็พักเหนื่อย เข้าห้องน้ำ เตรียมตัวจะไปน้ำตกกันต่อ เราก็บอกว่าเจ้าหน้าที่บอกว่า เดิน 2 กิโลกว่าๆ นะไม่ใช่ 900 เมตร ก็เลยมีคนไปถามกับเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง เขาบอกว่า อ๋อ สามพันเก้าร้อยเมตรนะ (พวกเราหูไม่ดีเอง ไม่มีใครได้ยินสามพันกันซักคน ได้ยินแค่เก้าร้อยเมตร เหมือนตอนแรกที่บอกว่า 6 กิโล ที่จริงเขาคงบอกว่า สิบหกกิโล แต่สิบมันเบาไปหน่อย) ระยะทางพอๆ กับที่ไปผาโหล่นแต้ ก็เลยยังมีคนสนใจไปกันเยอะ เรากลับมานอนอ่านหนังสือที่บ้านพัก อ่านได้หน้าเดียวก็ผล็อยหลับไป ตื่นมาประมาณสามโมงกว่าๆ มีคนบอกว่าให้ไปอาบน้ำ เพราะถ้ารอค่ำกว่านี้ก็จะหนาวและต้องรอคิวกับพวกที่ไปน้ำตกอีก ขนาดอาบน้ำตอนบ่ายก็ยังเย็นเป็นน้ำแข็งเหมือนเดิม อาบน้ำเสร็จมาอ่านหนังสืออีกรอบก็ได้แค่ 3-4หน้า มาได้ยินเสียงเอะอะอีกทีตอนพวกที่ไปน้ำตกกลับมา

เปิ้ลมาบอกว่า เราพลาดไปแล้ว น้ำตกสวยมากกกก (ตรงคำว่า มากกก ทำเสียงกระแทกสุดชีวิต) ระยะทาง 4 กิโลเป็นทางปีนขึ้นเขาแคบๆ มีต้นไม้รกๆ ขวางทางต้องเดินไปแหวกทางไปตลอด มีบางช่วงทางลำบากประมาณว่าต้องเลือกกระโดดจากหินก้อนหนึ่งไปอีกก้อนหนึ่งหรือจะปีนข้ามท่อนซุงต้นใหญ่ ไปถึงน้ำตกก็ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจอะไรมาก น้ำไม่เยอะ สรุปว่าเราไม่ไปก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรมาก

ตั้งแต่อาบน้ำเสร็จเรารู้สึกว่าไข้ขึ้น พอกินข้าวเย็นเสร็จก็ว่าจะเข้านอน แต่วันนี้ได้กินข้าวเย็นเร็วกว่าวันแรก (กับข้าวเป็นผัดกระเพรา ผัดพริกไก่ ไข่เจียว) ก็เลยไปนั่งเล่นที่กองไฟให้อุ่นก่อน แต่กลายเป็นว่าร้อนมากๆ พอถอยออกมาก็หนาวอีก ทนนั่งได้พักเดียว วันที่สองเราเข้านอนตอนทุ่มครึ่ง

เดินกลับ

วันสุดท้ายเราต้องออกเดินทางแต่เช้าเพราะนัดให้รถทัวร์มารับ ก็เลยกินกันแต่กาแฟและมีห่อข้าวเหนียวหมูแดดเดียวไปกินกลางทาง วันเดินทางกลับสัมภาระลดลงไปเยอะเพราะพยายามกินน้ำกินขนมที่ขนมาให้หมด แต่ก็ยังมีบางคนที่ถอดใจไม่มีแรงหอบกระเป๋าตัวเองกลับ ก็เอาไปวางรวมกันไว้ให้เจ้าหน้าที่ชุดพรางช่วยขนลงไปให้ เรายังถือกระเป๋า 2 ใบเอง คิดว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ถึงจะขอให้คนช่วย เราออกเดินทางกันตอน 7 โมงครึ่ง ช่วงแรกโหดที่สุดเพราะต้องเดินขึ้นเขา เราต้องพักค่อนข้างบ่อยเพราะหายใจไม่ทัน (ถ้าเดินที่ราบๆ จะไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย) มีน้องคนหนึ่งที่ไม่ค่อยแข็งแรงก็เป็นลมไปเลย ยังดีที่ไปกับแฟนก็เลยมีคนดูแลปฐมพยาบาล (และมีเจ้าหน้าที่ชุดพรางคอยดูอยู่ด้วย)

พอขึ้นมาถึงที่ราบก็หยุดพักกินข้าว (ที่เดิมที่ซ่อนขวดน้ำแกลลอนไว้) กินข้าวเสร็จก็เดินต่อ ปรากฏว่าขากลับเราเดินได้เร็วขึ้นเยอะ ไม่ต้องพักบ่อยๆ สงสัยได้แรงจากข้าวเหนียว (แต่ส่วนใหญ่คนเราก็มักจะ “รู้สึก” ว่าเดินทางขากลับเร็วกว่าขาไปอยู่แล้ว เพราะเรารู้จักเส้นทางรู้ที่หมายแล้วคร่าวๆ ขาไปรู้สึกว่านาน เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึง) กลุ่มเราเดินถึงเป็นกลุ่มแรกอีกแล้ว สรุปว่าขากลับใช้เวลาเดินแค่สี่ชั่วโมงสิบนาที คนอื่นๆ ทยอยๆ กันมาถึงกลุ่มสุดท้ายมาถึงประมาณเกือบๆ บ่ายโมง ก็ล้างหน้าล้างตา (พี่ชายแอ๊ดมาถามว่า จะอาบน้ำอุ่นไหม ไปอาบที่บ้านพักที่เราจองไว้ตอนแรกแต่ไม่ได้พักก็ได้ ทำเอาหลายคนอยากจะเคือง พาพวกเราไปยังกะฝึกทหาร แล้วมาบอกว่าบ้านพักมีน้ำอุ่น ฮึ่ม...)

กินข้าวกลางวันแล้ว (ผัดกระเพราไข่ดาวอีกแล้วครับทั่น) มีเวลาเหลือนิดหน่อยก่อนจะไปขึ้นรถทัวร์ ก็เลยเดินไปดูที่ประทับแรมของพระราชินี มีคนนำทางขึ้นไปบนชั้นลอย (หรือหอคอย) ที่เป็นจุดชมวิว คนแรกๆ ที่ขึ้นไปตะโกนโหวกเหวก เราก็นึกว่าวิวสวยที่ไหนได้โวยวายเพราะลมเย็นยะเยือก ข้างบนนั้นมองเห็นวิวได้รอบ เห็นตรงที่เราคิดว่าเป็นโหล่นแต้ด้วย มีคนเปรยๆ ว่าที่จริงน่าจะพักที่โคกนกกระบา แล้วเดินเที่ยวรอบก็พอ แถมได้มีเวลาเหลือไปเที่ยวภูเรือด้วย พอลงจากชั้นลอยมีคนเห็นเจ้าหน้าที่เอาเชือกมาล่าม มีป้ายติดว่าห้ามเข้า ดีว่าเขาไม่มาไล่เราตั้งกะตอนแรก

ทริปต่อไป นครปฐม

พี่ชายแอ๊ดขับรถพาพวกเรามาส่งขึ้นรถตรงที่นัดกับรถทัวร์ไว้ (ปากทางเข้าอุทยาน) ก่อนกลับแวะซื้อของฝากที่ชาโต เดอ เลย ที่เป็นไร่องุ่นและโรงไวน์ที่ภูเรือ (ที่จริงโปรแกรมเดิมเรามีทัวร์โรงไวน์ด้วย แต่กลายเป็น ทัวร์น้ำตกสวยมากกก แทน) เรากินไวน์ไม่เป็น เลยได้แต่ซื้อขนมกินเล่นมาฝากคนที่ออฟฟิศ ได้ออกเดินทางกลับจริงๆ ก็สี่โมงเย็น แวะกินข้าวที่เพชรบูรณ์ตอนสองทุ่ม (เป็นร้านไก่ย่าง แต่กินอาหารอื่นๆ เพียบ หลังจากกินผัดกระเพรามาทุกวัน) หลังกินข้าวเสร็จต่ายคิดเงินแล้วหารเงินที่เหลือคืน สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนละ 1,500 บาท เรากลับมาถึงกรุงเทพฯเกือบเที่ยงคืนพลาดงานแต่งงานเพื่อนเราไปแบบไม่มีลุ้นเลย

พวกเรามานับกันว่าเดินไปทั้งหมดกี่กิโล คนที่เดินน้อยที่สุดคือเดินขึ้นไปกลับโหล่นแต้ก็ 32 กิโลแล้ว ตอนไปเที่ยวผาโหล่นแต้กับตอนไปน้ำตกก็อีกที่ละ 8 กิโล คนที่เดินเยอะสุด 3 วันเดินไป 64 กิโล เลยตกลงกันว่าทริปหน้าจะจัดไปนครปฐม แต่จะให้เดินกันไปเพราะเดินบนเขายังเดินกันได้ ไปนครปฐมเดินทางราบๆ บนถนน ซำบายอยู่แล้ว

นินทา

ตอนไปทริปนี้เรารู้สึกว่าคนที่ไปด้วยมีพฤติกรรมแปลกๆ เลยเก็บมานินทาคือมีคู่หนึ่งเขาเป็นแฟนกัน สมัยเรียนก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดีๆ เราไม่ได้ติดต่อกับพวกเขานานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ สองคนนี้เรารู้สึกว่าผู้หญิงจะแก่กว่าผู้ชาย หรือถึงอายุไม่ต่างกัน แต่พฤติกรรมผู้หญิงก็เป็นยายแก่กว่าเยอะ คือคิดมาก ขี้บ่น ชอบเจ้ากี้เจ้าการโดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับแฟนเขา (เราว่าเขาเป็น Control Freak เรียกย่อๆ ว่า CF นะ) พวกผู้ชายปากไม่ดีก็จะแซว CF ว่าเป็นแม่คอยดูแลลูก(แฟน) CFเขาก็ไม่โกรธนะ เวลาโดนแซวก็ด่าสวนกลับไป (หรืออาจจะโกรธแต่วิธีแสดงออกไม่เหมือนเรา ถ้าเป็นเราโดนแซวทำนองนี้ เราจะโกรธมากจนไม่พูด เลิกยุ่งกับไอ้พวกที่มาแซวอย่างเด็ดขาด)

เรามารู้ทีหลังว่าตอนที่เดินขึ้นภูตอนแรก CF เขาเป็นคนไม่อยากเดิน ก็พยายามจะทักท้วง แต่แทนที่จะบอกตรงๆ กลับเอาน้องคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงมาอ้าง บอกว่ากลัวน้องจะเดินไม่ไหว น้องคนนั้นก็ดันกำลังใจดี เห็นเพื่อนไปก็จะไปกับเพื่อน CF จำใจต้องตามคนหมู่มาก ระหว่างเดินก็บ่นตลอดเวลาว่าเจ็บเท้ารองเท้ากัด แต่พอบอกให้ใส่ถุงเท้าก็บอกว่าไม่ชอบใส่ (รองเท้าเขาเป็น Scholl สีดำๆ แบบที่มีที่รัดที่ส้นเท้าอ่ะนะ)

ตอนที่เดินไปได้ครึ่งทาง เขาก็มาโวยวายว่ากระเป๋าเสื้อผ้าเขาขาด เป็นรอยขาดตรงตะเข็บรอยต่อด้านข้างที่เขาทำเป็นกระเป๋าเล็กไว้ให้ใส่ของจุกจิก เราว่ามันขาดแค่นิดเดียวไม่เห็นจะซีเรียส แต่เขาก็โวยวายราวกับมันจะแคว่กออกมาตอนนั้น แฟนเขาก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ แต่เขาก็ยังโวยไม่เลิกทั้งที่ทำอะไรไม่ได้

ตอนที่ไปถึงที่พักที่โหล่นแต้ เขาก็สะบักสะบอม เท้าพองเป็นน้ำใสๆ หลายที่ ถามคนโน้นคนนี้ว่าจะทำยังไง แต่ละคนก็แนะนำต่างๆ กันไป บางคนบอกให้ปล่อยไว้ บางคนบอกให้เจาะเอาน้ำออก (เราก็แนะนำทางเลือกหลังนี้ เพราะเคยทำแล้ว หายเจ็บเร็วกว่าปล่อยไว้เฉยๆ แต่ต้องเจาะให้ดีๆ บีบเอาน้ำออกให้หมดแต่อย่าให้หนังที่พองขึ้นมาขาด) แต่ใครแนะนำอะไรไปเขาก็ไม่เอาซักอย่าง ปล่อยไว้เฉยๆ ได้ไงแล้วพรุ่งนี้จะเดินได้ไง จะเจาะได้ไงเจ็บจะตาย สุดท้ายคนแนะนำรู้สึกเหนื่อย (ใจ) เลยค่อยๆ หายไปทีละคน

พอบ่นเรื่องเท้าพองเสร็จ ก็บ่นเรื่องสภาพบ้านพัก ว่าไม่มีไฟฟ้า ห้องน้ำห้องเดียวใช้ไม่พอ พวกผู้ชายต้องลำบากไปอาบน้ำที่ลำธาร (เอาคนอื่นมาอ้างอีกและ เอ๊ะ... หรือเขาห่วงลูกชายเขา :P) ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ บอกว่าอยากกลับลงไปข้างล่าง เขาจะกลับวันรุ่งขึ้นเลย (คือเราก็รู้สึกว่าสภาพบ้านพักมันแย่นะ แต่ว่ามาเที่ยวแบบนี้จะเอาอะไรมาก เขาบอกว่าเขาเคยไปภูกระดึงสบายกว่านี้เยอะ เราว่าบ้านพักที่นี่ก็พอๆ กับที่เราเคยพักที่ภูกระดึง เขาบอกว่าเขานอนเต๊นท์ สบาย ห้องน้ำเพียบ) เราไม่ได้คิดจะขวางเขานะ แต่เพิ่งเดินมา 16 กิโล นอนพักค้างคืนแล้วให้เดินกลับอีก 16 กิโล เราเดินไม่ไหวอ่ะ แถมตัวเขาเองก็เท้าพองอีกตะหาก ถ้าไม่พักเท้าเลย เดินต่อ “แบบไม่ใส่ถุงเท้า” รับรองยิ่งเท้าพองหนัก ดีไม่ดีอาจจะถึงเลือดออกด้วยซ้ำ (อันนี้เราแค่คิดในใจนะ ไม่ได้พูดออกมา เพราะจากประสบการณ์ พูดไปเขาก็ไม่ฟัง) แต่พอพยายามชักชวนคนอื่นๆ ว่าให้พักที่โหล่นแต้แค่คืนเดียว ไม่มีใครเห็นด้วย เขาก็เลยเงียบไป

วันที่สองตอนที่เราไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตก เราก็ได้ยินน้องผู้หญิงคนหนึ่งมาชวน CF ไปล้างหน้าสระผมที่ลำธาร แต่ก่อนไปก็เรียกให้แฟนของ CF ไปช่วยผู้ชายอีกคนตักน้ำมาใส่ห้องน้ำเอาไว้ให้พวกผู้หญิงอาบน้ำ (ความที่บ้านพักไม่มีคนไปพักนานมาก ปั๊มน้ำก็เลยเสีย น้ำที่ใช้ต้องให้พวกผู้ชายหาบมาให้ ก็สลับๆ กันไป) CF รีบโวยวายใส่แฟนตัวเองว่าจะไปตักน้ำได้ยังไง ขายิ่งเดี้ยงๆ อยู่ (เราไม่เห็นรู้ว่าแฟนเขาขาเดี้ยง เท่าที่เรารู้แฟนเขาสบายดีและอยากไปเดินเที่ยว แต่ที่ต้องอยู่บ้านเพราะอยู่เป็นเพื่อน CF) แต่พอน้องคนที่มาเรียกบอกว่าให้ไป “ช่วยกัน” ตักน้ำ เขาถึงได้เงียบไป ทีแรกคงคิดว่า ทำไมต้องให้แฟนฉันใช้แรงด้วยฟะ แต่พอเห็นว่าคนอื่นก็ต้องทำก็เลยไม่กล้าโวยต่อ แต่ก็ยังไม่วายบอกว่า อย่าอาบน้ำที่ห้องน้ำเลย ให้ไปอาบที่ลำธารดีกว่า (แฟนฉันจะได้ไม่ต้องไปตักน้ำ) แต่พอผู้ชายสองคนนั้นไปตักน้ำเรียบร้อยแล้ว CF ก็เกิดอาการกลัว เอ๊ะ... จะไปอาบน้ำที่ลำธารได้ยังไง กลัว (กลัวอะไรวะ ตอนเช้าก็ไปแปรงฟันล้างหน้ากันที่ลำธารทุกคน) จะให้แฟนไปนั่งเป็นเพื่อน (ทั้งๆ ที่น้องผู้หญิงก็ไปด้วย)

เราเห็น/ฟังเหตุการณ์ต่างๆ นี้แล้ว ก็สงสัยหน่อยๆ ว่า เราคงเจือกเรื่องคนอื่นมากไป (จุ้น 4) แล้วก็คิดมากไป ถึงจำเอามาเล่าได้เป็นฉากๆ แต่ยังไงก็เถอะ เราเจอคนแปลกๆ มาก็เยอะแยะ เราว่า CF คนนี้เป็นเบอร์แรกๆ ของความไม่ธรรมดา...