Overworked, Underappreciated
อ่านที่พี่ปุ๊กบ่นเรื่องความท้อแท้ในที่ทำงาน ตอนแรกเราเกรงอยู่หน่อยๆ ว่า ที่เขียนๆ ว่าเป็นเรื่องเพื่อนที่แท้จะเป็นเรื่องของตัวเอง แต่พอแกมาเขียนตอนสอง ถึงค่อยสบายใจหน่อยว่าไม่ใช่ ความเห็นของเราในเรื่องการทำงานมันก็เหมือนกับเรื่องการใช้ชีวิตทั่วๆ ไป คือนอกจากมันขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเองแล้ว หลายๆ ครั้งมันมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่เราควบคุมไม่ได้ (ไม่รู้ว่าใครจะเรียกมันว่าอะไร แต่เราอยากเรียกมันว่า ชะตาฟ้าลิขิต)

เราว่าการทำงานนี่ “หัวหน้า” คือหนึ่งในปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ที่สำคัญมากๆ มันเป็นชะตาฟ้าลิขิตว่าจะให้เราได้หัวหน้าเป็นคนแบบไหน ถ้าได้หัวหน้าที่ไม่ดี เข้ากันไม่ได้ เราว่าเป็นนรกแท้ๆ ทำงานไปเท่าไหร่ก็คงไม่รุ่ง เพราะชีวิตการทำงานนั้น หัวหน้ามีส่วนผลักดัน (ฉุดกระชากลากจูง) ขีดเส้นอนาคตกันได้เลย ถ้าหัวหน้าชอบเรา เวลาจะทำอะไรก็จะได้รับการส่งเสริม เวลาทำผิดพลาดอะไรก็ได้รับความเอ็นดู

เราค่อนข้างโชคดีที่หัวหน้าของเราส่วนใหญ่โอเคกับนิสัยมุทะลุดุดัน ไม่ยอมคนของเรา เขายอมรับได้เวลาที่เรามีคอมเม้นต์หรือมีคำถามผางเข้าไป ส่วนใหญ่เขาจะดูที่ผลของงานมากกว่าจะดูเรื่องจุกๆ จิกๆ แบบว่า ทำงานตอนไหนยังไง แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้เราก็ต้องผ่านการเรียนรู้ปรับตัวกันพอสมควร อย่างหัวหน้าคนปัจจุบันของเรานี่ ตอนแรกๆ เราว่าเขาจะไม่ค่อยชอบตอบคำถามเรา เพราะรู้สึกคล้ายกับว่าเราลองภูมิเขา เพราะเราจะถามละเอียดมาก แต่หลังๆ เขาก็รู้ว่าเราไม่ได้จะเอาอะไรกับเขา เขาตอบว่าไม่รู้เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เขาไม่มีเหตุผลที่ดีกว่า และเราต้องการจะคิดต่าง ทำต่างเขาก็จะมาบังคับให้เราทำแบบที่เขาต้องการไม่ได้

แต่จะว่าไปเราก็เคยมีหัวหน้าที่เราเข้ากับเขาไม่ได้ คือ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า อะไร หนึ่ง สอง สาม ที่เข้ากันไม่ได้ แต่รู้แต่ว่าเราไปทำงานกับเขาแล้วก็ไม่มีความสุข แล้วก็หมดกำลังแรงใจ แค่คิดว่าตื่นเช้า ต้องมาทำงานก็กลุ้มแล้ว อย่างคนแรกที่เราเจอ (แต่ไม่ใช่หัวหน้าคนแรกที่เราทำงานด้วยนะ) เราทนทำงานกับเขา (เขาก็ทนให้งานเราทำ) อยู่ประมาณหกเดือน เราเห็นท่าไม่ดี เราก็เริ่มจะขยับขยาย โชคยังดี (ชะตาฟ้าลิขิตอีกนั่นแหละ) มันปลายปีพอดี ถึงตอนที่ต้องคุยกับหัวหน้าแผนกเราก็เลยแย็บๆ กับเขาไป ก็ได้ย้ายแผนกย้ายงานสมใจนึก

ปกติเวลาที่เรารู้สึกว่าเราเข้ากับใครไม่ได้ ถ้าเป็นเหตุผลมาจาก First Impression ว่าเขาเห็นท่าทางของเราแล้วเขาไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา เราจะพยายามทำกับเขาให้ดีมากๆ เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันมันดีขึ้น เราต้องการจะเอาชนะใจเขาให้ได้ (เราจะไม่คิดว่าการยอมทำตามคนอื่น เพื่อให้ชนะใจเขาเป็นการแพ้ เป็นการว่าเราหงอเราเสียศักดิ์ศรี แต่เรากลับมองว่าเรา “เลือก” ที่จะทำเช่นนั้น เพื่อควบคุมสถานการณ์ ถือว่าเราเจ๋งกว่าด้วยซ้ำ) ซึ่งหลายๆ ครั้งเราก็ทำสำเร็จ แต่หลายๆ ครั้งก็ไม่สำเร็จ อย่างหัวหน้าคนหนึ่งของเราซึ่งตอนนี้ไม่ได้ทำงานที่บริษัทเราแล้ว เรารู้สึกว่าเราพยายามแล้ว แต่มันมีแง่มุมต่างๆ มากมายที่เราต่างกัน เราไม่มีวันเห็นเหมือนกัน ไม่มีวันเข้ากันได้ดี

เราคิดอยู่เสมอว่า เวลาที่ไม่ถูกกับหัวหน้า ลูกน้องต้องเป็นฝ่ายไป อาจจะขอย้ายแผนก อาจจะพยายามไปทำงานโปรเจ็คต์โน่นนี่ ที่ทำให้เราไม่ต้องเป็น Direct Report ของเขา หรืออาจจะถึงกระทั่งลาออก ตอนที่เรามีปัญหาเราก็คิดถึงวิธีสุดท้ายนี้เหมือนกัน อย่างที่เคยเล่าไปแล้วในมินิซีรีส์เรื่อง One in a Million แต่มันก็มีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ที่เรียกว่าชะตาฟ้าลิขิต มาทำให้มันพลิกผันไปในทางตรงกันข้าม กลายเป็นว่าหัวหน้าเราลาออกไปซะก่อน

ที่เราเขียนวันนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องหรือตอบโจทย์ที่เพื่อนพี่ปุ๊กกลุ้มใจอยู่ แต่เราคิดว่ามันเกี่ยวเนื่องกลายๆ เราคิดว่าการที่เพื่อนพี่ปุ๊กเขาเกิดอาการทดท้อ ถอดใจ อาจจะเพราะรู้สึกว่าไม่สามารถจะเอาชนะสถานการณ์ในที่ทำงานได้ แต่เราว่าเขายังมองปัญหาไม่รอบด้าน การทำงานไม่ใช่การทำข้อสอบ คนเก่งที่สุดไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จเสมอไป นอกจากไอคิวแล้วยังต้องใช้อีคิวในการแก้ปัญหาด้วยเหมือนกัน เราคิดว่าเรื่องแบบนี้บางทีมันก็สอนกันไม่ได้ว่าเธอต้องทำตัวแบบนั้นแบบนี้เพื่อประนอมปัญหา ทั้งๆ ที่เธอถูกแต่เธอต้องยอมหรือเธอต้องไปทางเบี่ยง เพราะทางตรงมันเป็นทางตัน หรือมันมีตอ (ไม้ที่ไร้สมองในการตัดสินใจ) ขวางอยู่ ฯลฯ เราได้แต่หวังว่าไม่ช้าก็เร็วเพื่อนพี่ปุ๊กจะคิดถึงตรงนี้ได้

อีกอันหนึ่งที่เราคิดก็คือ ความจริงเพื่อนพี่ปุ๊กเขาอาจจะคิดตกแล้วก็ได้ ก็คืออย่างที่บอกไปว่า ถ้าเรากำลังไปในทิศทางที่ไม่ตรงกับหัวหน้า หรือคนที่อยู่เหนือเรา คนที่มีอิทธิพลต่อหน้าที่การงานของเรา เราไม่ค่อยมีทางเลือกอะไรมาก นอกจากหนีไปทางอื่น แต่เพื่อนพี่ปุ๊กเขาคงไม่ลาออกง่ายๆ (อย่างน้อยเราก็หวังแบบนั้น) และการจะเปลี่ยนแผนก ย้ายโปรเจ็คต์อะไรก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก กรณีแบบนี้ ถ้าเป็นเราเราจะรอเวลา (และต้องอาศัยพลังจิตด้วย คือพยายามสวดมนต์ให้พวกหัวหน้าที่ไร้สมรรถภาพทั้งหลาย เกษียณก่อนเวลา หรือถูกโปรโมทขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถทำความเสียหายให้องค์กรได้อีกต่อไป) เขาอาจจะมองว่าในจังหวะเวลาตอนนี้ ต่อให้เต้น Step ไหน มันก็ไม่ตรงกับ Step ของหัวหน้าซักที จะเต้นไปทำไมให้เหนื่อยแรง พี่ก็พูดเองว่าการเปลี่ยนแปลงมันในองค์กรใหญ่ๆ มันชักช้าร่ำไรไม่ทันใจคนวัยป้า... เอ้ยวัยรุ่น จะให้เขาลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกา ทั้งที่รู้ว่าที่ต้องรอเป็นชาติๆ ก็เหนื่อยตายกันพอดี เอาไว้ให้ถึงตอนที่เขาเริ่มมองเห็นอนาคต เห็นโอกาสการเปลี่ยนแปลง แล้วพี่เห็นว่าเขายังเหนื่อยเหงา ซึมเซาก็ค่อยมากลุ้มใจว่าเขาหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต เราคิดของเราแบบนี้อ่ะนะ