Secondhand Lions
เมื่อวานไปดูหนังเรื่อง Secondhand Lions มา เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายที่โดนเอามาทิ้งไว้ให้อยู่กับลุงสองคน (ที่จริงเป็น Great Uncle คือ เป็นพี่ชายของแม่ของแม่หนะนะ จะต้องเรียกเป็นภาษาไทยว่าอะไรหละ เราไม่รู้เหมือนกันเพราะเพิ่งเคยได้ยินคำว่า Great Uncle ก็เมื่อคืนนี้เอง) เป็นหนังน่ารักที่จัดเป็น Movie of The Month ของเดือนมกราคม เดือนที่มีวันเด็กแห่งชาติ

ในเรื่องมี Michael Caine เล่นเป็นลุงการ์ธ (เขาเคยได้รางวัลออสการ์จากเรื่อง The Cider House Rules เมื่อหลายปีก่อน) กับ Robert Duvall เล่นเป็นลุงฮับ (คนนี้เคยได้รางวัลออสการ์จากเรื่อง The Apostle แต่เราไม่ได้ดู ที่เราได้ดูหนังเรื่องล่าสุดของ Duvall คือ The Civil Action ที่มี John Travolta เล่นเป็นทนายความที่พยายามฟ้องบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ที่ทำให้เกิดมลภาวะในแหล่งน้ำจนคนแถวๆนั้นเป็นมะเร็ง ลุง Duvall ได้เสนอเข้าชิงออสการ์ดาราประกอบด้วยแต่ไม่ชนะ) แล้วก็มี Haley Joel Osment (คนนี้คือเด็กที่เล่นเรื่อง The Sixth Sense และได้เสนอเข้าชิงออสการ์ด้วย สรุปว่าเรื่องนี้มีแต่ดารา Oscar Winners/Oscar Nominee เครดิตเพียบ) มาเล่นเป็นวอลเทอร์ เด็กขี้กลัวหงอๆ ที่ต้องมาอยู่กับตาแก่แปลกๆสองคน

ที่ว่าแปลกๆก็เพราะลุงสองคนนี้อยู่กันโดดเดี่ยวสองคน บ้านอยู่ไกล๊ไกลปลายทุ่งออกไปโน่น ไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกะใคร แต่ก็ชอบมีคนจะมาหาแกอยู่เรื่อย มีเซลส์แมนชอบมาขายของ เพราะแกสองคนหายไป 40 ปีแล้ว พอตอนกลับมาเขาลือกันว่ามีมาเงินเป็นล้านๆ (เอามาจากไหนก็ลือกันไปอีก บ้างก็ว่าไปปล้นมา บางก็ว่าไปโกงเจ้าพ่อมาเฟียมา ฯลฯ) แล้วก็ซ่อนอยู่แถวๆ บ้านที่แกอยู่นั่นแหละ ลุงสองคนนี้เลยมีงานอดิเรกคือนั่งถือปืนอยู่หน้าบ้าน พอเซลส์แมนขับรถมาจอดแกก็ยิ่งปืนไล่ นอกจากนี้แกก็มีกิจกรรมแบบซ่าๆ ท้าทายๆ อย่างไปยิงนกตกปลา (ที่จริงยิงปลาด้วย)

นอกจากเซลส์แมนแล้ว ก็ยังมีญาติอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งจะชอบมาป้วนเปี้ยนตีสนิทหวังจะได้สมบัติของลุงสองคนนี้ (ทั้งๆที่ก็ยังไม่มีใครแน่ใจว่ามีเงินจริงๆ หรือเปล่า หรือเงินซ่อนอยู่ที่ไหน) แม่ของวอลเทอร์ก็หวังสมบัติเหมือนกัน ก่อนไปก็พยายามบอกให้ลูกชายติสนิทกับลุงและพยายามสืบหาที่ซ่อนเงินให้ได้

ตอนแรกๆ ลุงสองคนกับเด็กหนึ่งคนก็อยู่กันไปแบบทำตัวไม่ค่อยถูก (ก่อนเข้านอนคืนแรก ลุงสองคนบอกวอลเทอร์ว่า เขาไม่เคยเลี้ยงเด็ก เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่วอลเทอร์ต้องการ ก็ต้องหาเอาเอง หรือไม่ก็ทำใจทนอยู่โดยไม่ต้องมีสิ่งนั้น และเขาสองคนแก่มากแล้ว ถ้าตอนกลางคืนเกิดตายไป ก็ดูแลตัวเองให้ดีละกัน) แต่สุดท้ายก็สนิทสนมกัน

มีเรื่องราวสนุกๆเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นที่ลุงสองคนเล่าให้ฟังว่าที่หายไป 40 ปีไปทำอะไรมามั่ง (ไปรบในสงครามที่แอฟริกากับทหารฝรั่งเศส ไปรบกับพวกองโจรอาหรับ แย่งเจ้าหญิงอาหรับมาจากชี้คพร้อมได้ทองคำมาตั้งหมื่นชิ้น ฯลฯ แต่ละเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก็สนุกสนานตื่นเต้นสำหรับเด็กอย่างวอลเทอร์) หรือกิจกรรมต่างๆ ที่คนแก่กับเด็กช่วยกันทำ อย่าง ปลูกผัก (คนแก่ต้องปลูกผักและกินผักจะได้สุขภาพดี มีชีวิตยืนยาว) ซึ่งตาลุงฮับโดนเซลส์แมนหลอกขายเมล็ดผักต่างๆ นานา ที่พอปลูกไปซักพักถึงได้รู้ว่า ทั้งมะเขือเทศเอย ผักกาดเอย ผักโน่นผักนี่ กลายเป็นข้าวโพดซะทั้งหมด ส่วนลุงการ์ธก็อยากจะซื้อสิงโตมาล่า (อยากจะยิงและเอาหัวสิงโตไปติดที่หน้าเตาผิง) ก็โดนเซลส์แมนเอาสิงโตแก่ๆ มาขาย สุดท้ายก็เลยไม่ได้ล่าสิงโต เพราะแค่มันจะลุกขึ้นมายืนยังไม่มีแรง ต้องปล่อยให้มันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของวอลเทอร์ไป

ชีวิตของวอลเทอร์ได้เจอกับคำโกหกของแม่ตัวเองบ่อยๆ (เพราะแม่เป็นคนที่อับโชคกับชีวิตคู่ ก็มีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะสามารถก่อร่างสร้างตัวกับผู้ชายคนใหม่ที่เจอ พวกผู้ชายพวกนี้ก็เป็นแต่พวกจอมโกหกจอมปอกลอกทั้งนั้น) พอมาเจอเรื่องเล่าของลุงก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า เขาอยากจะเชื่อว่าลุงสองคนได้ไปรบอย่างมีเกียรติและได้ทองจากชี้คอาหรับมา แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะคนก็ลือให้เข้าหูอยู่เรื่อยว่าสองคนนี้เป็นอาชญากร

ลุงฮับบอกวอลเทอร์ว่า เรื่องบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่จริง แต่เราต้องเชื่อมั่น เพราะเรามีศรัทธาในความดีงาม ในความรัก ในความมีเกียรติศักดิ์ศรี สิ่งเหล่านี้ไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรมแต่มีจริง หนังเรื่องนี้สามารถเป็นหนังเด็กได้ 100% เพราะดูสนุก มีคติสอนใจ ไม่มีความรุนแรงหยาบคาย แถมตอนจบก็แฮ้ปปี้ด้วย

สำหรับเราเป็นผู้ใหญ่ก็ชอบ ดูแล้วสร้างความเชื่อ สร้างศรัทธา สร้างความรู้สึกดีๆกับเพื่อนมนุษย์ ดูจบแล้วใจก็ไพล่ไปนึกถึงบทความเรื่อง “ซานตาคลอส” ที่ได้อ่านในมติชนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ (เขียนคอลัมน์ แลไปข้างหน้า ในมติชนสุดสัปดาห์) เขาเอาบทความที่เขียนในเอบีซีนิวส์มาแปลให้ฟัง ลองอ่านกันดู … และถ้ามีใครได้ดู Secondhand Lions ก็ลองมาเล่าสู่กันฟัง ว่าเห็นด้วยกับเราไหมว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่สัมพันธ์กัน

ซานตา คลอส โดย ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์
จาก คอลัมน์ แลไปข้างหน้า มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 09 มกราคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1221

แม้จะผ่านพ้นเทศกาลคริสต์มาสมาแล้ว แต่โฆษณาชิ้นหนึ่งของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองไทยก็ยังชวนให้คิดต่อ โฆษณาชิ้นนั้นบอกในทำนองว่า ซานตา คลอส ไม่มีจริง แต่ที่ห้างนั้นมีของทุกสิ่งให้เลือกซื้อหาได้

โฆษณาชิ้นนี้สะท้อนถึงลัทธิบริโภคนิยมอย่างถึงแก่นของมัน โดยปราศจากความเมตตาสงสารต่อ"จินตนาการ" ของเด็กๆ ถึงแม้ว่าในเมืองไทยคนส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือคริสต์ และไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องซานตา คลอส ก็ตามที แต่มันก็เป็นการทำโฆษณาที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายสุดท้ายก็คือ "เงิน" โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น

พอดีได้อ่านเรื่องหนึ่งใน เอบีซีนิวส์ มีเนื้อหาบางส่วนที่สอดคล้องกันพอดี โดยอาศัยตำนานที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2440 หรือประมาณร้อยปีกว่าที่ผ่านมา

เรื่องเกิดขึ้นจากเด็กหญิง เวอร์จิเนีย โอแฮนลอยส์ วัยแปดขวบ เขียนจดหมายไปยังหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ซัน เพื่อถามว่า ซานตา คลอส มีจริงหรือไม่ และขอให้ตอบในฉบับวันถัดมา เพราะเธอเชื่ออย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ซานตา คลอส มีจริง แต่เพื่อนของเธอบางคนไม่เชื่อ เธอก็เลยต้องการคำตอบ

จดหมายดังกล่าวส่งผ่านยังมือของ ฟรานซิส เชิร์ช บรรณาธิการ และคำตอบก็กลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา คำตอบทั้งหมดยาวหน่อย แต่สรุปสั้นๆ ก็คือ "จ้ะ เวอร์จิเนีย ซาน ตาคลอส มีจริง ท่านมีอยู่แน่นอนเหมือนกับที่ความรัก ความเมตตา และการเสียสละมีอยู่" คนทั่วๆ ไปมารู้ว่า ฟรานซิส เชิร์ช เป็นผู้ตอบก็เมื่อหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้วในอีกเก้าปีถัดมา

สำนักข่าว เอบีซีนิวส์ ย้อนรอยคำถามของเด็กน้อยและคำตอบของฟรานซิสกลับมาอีกในปีนี้ ด้วยคำถามที่ดัดแปลงไปเล็กน้อย และคำตอบซึ่งแตกต่างออกไปในรายละเอียด

ผมว่าเนื้อหาทันสมัยและน่าอ่านดี เลยขออนุญาตแปลมาเลย

เวอร์จิเนีย เพื่อนของเธอเข้าใจผิด เรามีชีวิตอยู่ในห้วงเวลาที่แปลกมาก โลกซึ่งคนที่ฉลาดกว่าทว่าชอบถากถางคนอื่นอ้างว่าไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งจริงแท้ แต่ก็ไม่เคยพลาดโอกาสที่จะบอกกับเด็กว่าความจริงแท้คืออะไร

พวกเขาเล่าเรื่องเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยรูปแบบต่างๆ นานาไปจนถึงเพลงและการ์ตูน ให้เธอกับเพื่อนๆ ฟัง เพื่อนของเธอฟังและยอมรับ

ส่วนเธอนั้นต้องขอชม เธอฟังและตั้งคำถามกับสิ่งที่ได้ยิน

จ้ะ เวอร์จิเนีย ซานตา คลอส มีจริง ฉันรู้ว่าหากเธอท่องเว็บเธอจะพบกับลิงก์จำนวนมากที่บอกว่าเขาเป็นแค่เรื่องเล่าในนิทาน หรือแย่กว่านั้นก็ว่าเป็นเรื่องตลก มากกว่าจะบอกว่าเขามีตัวตนจริง ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือเว็บที่บอกว่า ซานตา คลอส เป็นไปไม่ได้ กวางบินไม่ได้ หรือ ไม่มีทางที่ใครจะออกเยี่ยมบ้านมากมายขนาดนั้นได้ในคืนเดียว

เรื่องเหล่านี้เขียนขึ้นโดยผู้ใหญ่ที่สับสน ผู้ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ และอยากบังคับให้เด็กๆ คิดตามเขา พวกเขาเรียกมันว่า "การยึดกับสิ่งที่เป็นจริง"

แต่เวอร์จิเนีย เราจะไม่เชื่อปาฏิหาริย์ได้อย่างไรกันล่ะ ลองมองไปรอบๆ ตัวเธอสิ มีปาฏิหาริย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง และก็แปลกพิกล ปาฏิหาริย์จำนวนมากสร้างขึ้นโดยคนคนเดียวที่บอกเธอว่าอย่าเชื่อมัน (ผู้ใหญ่ก็ตลกแบบนี้แหละ)

ลองคิดถึงเรื่องนี้ดู มีความเป็นไปได้มากว่าจักรวาลทั้งหมดนี้ประกอบไปด้วยเส้นที่มองไม่เห็น การสั่นสะเทือนของเส้นเหล่านี้ก่อให้เกิดแกแลกซี่ นกบลูเบิร์ด อะตอม และดอกแดฟโฟดิล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง จักรวาลทั้งมวลอาจถูกสร้างขึ้นมาจากดนตรี

นั่นไม่ใช่ปาฏิหาริย์หรอกหรือ และไม่ใช่ปาฏิหาริย์อีกด้วยหรือที่มนุษย์ สัตว์โลกกระจ้อยร่อยบนดาวเคราะห์กระจิดริดตรงมุมหนึ่งของทางช้างเผือก สามารถจินตนาการสิ่งนั้นขึ้นมาได้

ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ชิพ การปลูกถ่ายอวัยวะ หรือยานโวยาเจอร์ สามารถออกไปจากระบบสุริยะ ล้วนแล้วแต่เป็นปาฏิหาริย์ทั้งนั้น แต่ก็ยังมีปาฏิหาริย์อื่นๆ อีกที่ใกล้ตัวเรามาก

ทุกวันเมื่อเธอเดินไปตามถนน ผ่านห้างร้าน เธอพบกับคนจำนวนมากที่หอบข้าวของพะรุงพะรัง บางคนมีอดีตที่น่าขนพองสยองเกล้า บางคนป่วย บางคนหวาดกลัว และหลายคนมีภาระและความรับผิดชอบที่เกินกว่าจะแบกรับ บางคนกำลังตาย ทว่า เธอไม่มีทางรู้ด้วยเพียงแค่การมองดู บางคนอาจจะอยู่ในบ้านเธอเองด้วยซ้ำ

ทุกเช้าพวกเขาตื่นขึ้น ยิ้ม แล้วออกไปสู่โลกภายนอก พยายามทำให้มันดีขึ้น พวกเขาคือคนที่กล้าหาญมากๆ สิ่งซึ่งพวกเขาทำในแต่ละวันไม่ได้เป็นปาฏิหาริย์น้อยไปกว่ากำเนิดของดวงดาวเลยแม้แต่น้อย

หากไม่เชื่อใน ซานตา คลอส เธอก็น่าจะไม่เชื่ออี-เมล์, อิเล็กตรอน หรือ หลุมดำ ไม่มีใครเคยเห็น ซานตา คลอส แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มี ซานตา คลอส ไม่เคยมีใครเห็นกว๊าก หรือคอมพิวเตอร์ บิต แต่ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่ามันไม่มีอยู่จริง

สิ่งที่จริงที่สุดในโลกคือสิ่งซึ่งทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่สามารถมองเห็นได้ การค้นพบใหม่ๆ อันยิ่งใหญ่และการกระทำอันมหัศจรรย์จากความเมตตาปรานีของมนุษย์เกิดขึ้นทุกวัน

ไม่มีใครสามารถคิดหรือจินตนาการถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่มองไม่เห็นหรือไม่สามารถเห็นได้ทั้งหมดในโลกหรอก

Yes, Virginia, There is a Santa Claus
by Editorial Page, New York Sun, 1897

จากคอลัมน์ของ ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ ข้างบน เราไปค้นต่อในอินเตอร์เน็ต ก็เลยได้จดหมาย/คำตอบฉบับดั้งเดิมเมื่อปีพ.ศ. 2440 ที่ตีพิมพ์ใน New York Sun เลยเอามาให้อ่านกันด้วย (แต่เป็นภาษาอังกฤษนะ เพราะเราขี้เกียจแปล)

"I am 8 years old. Some of my little friends say there is no Santa Claus. Papa says, 'If you see it in The Sun, it's so.' Please tell me the truth, is there a Santa Claus?"

- Virginia O'Hanlon
115 West Ninety-Fifth Street

We take pleasure in answering thus prominently the communication below, expressing at the same time our great gratification that its faithful author is numbered among the friends of The Sun:

Virginia, your little friends are wrong. They have been affected by the skepticism of a skeptical age. They do not believe except what they see. They think that nothing can be which is not comprehensible by their little minds. All minds, Virginia, whether they be men's or children's, are little. In this great universe of ours, man is a mere insect, an ant, in his intellect as compared with the boundless world about him, as measured by the intelligence capable of grasping the whole of truth and knowledge.

Yes, Virginia, there is a Santa Claus.

He exists as certainly as love and generosity and devotion exist, and you know that they abound and give to your life its highest beauty and joy. Alas! how dreary would be the world if there were no Santa Claus! It would be as dreary as if there were no Virginias. There would be no childlike faith then, no poetry, no romance to make tolerable this existence. We should have no enjoyment, except in sense and sight. The external light with which childhood fills the world would be extinguished.

Not believe in Santa Claus!

You might as well not believe in fairies. You might get your papa to hire men to watch in all the chimneys on Christmas eve to catch Santa Claus, but even if you did not see Santa Claus coming down, what would that prove? Nobody sees Santa Claus, but that is no sign that there is no Santa Claus.

The most real things in the world are those that neither children nor men can see. Did you ever see fairies dancing on the lawn? Of course not, but that's no proof that they are not there. Nobody can conceive or imagine all the wonders there are unseen and unseeable in the world.

You tear apart the baby's rattle and see what makes the noise inside, but there is a veil covering the unseen world which not the strongest man, nor even the united strength of all the strongest men that ever lived could tear apart. Only faith, poetry, love, romance, can push aside that curtain and view and picture the supernal beauty and glory beyond. Is it all real? Ah, Virginia, in all this world there is nothing else real and abiding.

No Santa Claus? Thank God he lives and lives forever. A thousand years from now, Virginia, nay 10 times 10,000 years from now, he will continue to make glad the heart of childhood.

Merry Christmas and a Happy New Year!!!!