Master and Commander
ไปดู Master and Commander มาแล้ว หลังจากตั้งท่าอยู่หลายรอบ ความจริงตอนที่เห็นหนังตัวอย่างครั้งแรกไม่ได้อยากดูเลย เพราะไม่คิดว่าจะมีพล็อตอะไรมาก ขนาดเห็นชื่อ Peter Wier ซึ่งเป็นผู้กำกับของหนังในดวงใจเรื่องหนึ่งของเราคือ Dead Poets Society ก็ยังไม่ดึงดูดพอ (ไม่รู้เป็นอะไร พอเห็นฉากที่อยู่บนเรือ แล้วมีคลื่นโหมกระหน่ำลูกใหญ่เบิ้ม ก็พาลให้คิดถึงเรื่อง Perfect Storm ทุกทีไป แล้วก็ทำลายอารมณ์อยากดูไปซะหมด)

แต่หลังจากได้ยินเสียงวิจารณ์ค่อนข้างดี (แอบอ่านวิจารณ์ในมติชน อ่านแค่ตรงสรุป เขาชมพล็อตเรื่องแต่บอกว่า แห้งแล้งไปหน่อย เพราะไม่มีบทผู้หญิงมาช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ แล้วเขาก็บ่นกับตัวเองว่า ใช้คำว่า “แห้งแล้ง” ดูจะขัดๆ กับหนังที่คืบก็ทะเล–ศอกทะเลไปซักหน่อย) เราคิดว่าต้องเชื่อเครดิตของ Peter Weir กับ Russel Crowe เสียหน่อย พอไปดูแล้วก็ไม่ผิดหวัง (อะแฮ่ม... สำหรับคนที่มาอ่านเรื่องนี้ก่อนไปดู แล้วเกิด “คาดหวัง” มากกว่าเรา ห้ามมาบ่นทีหลังว่าไม่ชอบล่ะ – ทฤษฎีสัมพันธภาพในการดูหนัง มีจริงนะ เขา(นิจวรรณ)ว่าไว้ว่า ถ้ามีความคาดหวังกับหนังมากเกินไป หนังดีๆ ก็อาจจะไม่สนุกได้ แต่ถ้าไม่ค่อยคาดหวังอะไรมาก หนังที่ไม่ค่อยดีก็อาจจะดูสนุกขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ)

หนังทำจากนิยายที่จับเอาเหตุการณ์ช่วงที่นโปเลียนกำลังเรืองอำนาจและไล่บุกยึดครองยุโรป เป็นเรื่องของกัปตัน Jack Aubrey กับเรือของอังกฤษชื่อ HMS Surprise และความพยายามในการหลบเลี่ยงการโจมตีจากเรือฝรั่งเศสชื่อ Acheron ซึ่งเป็นเรือที่ใหม่กว่า ใหญ่กว่า แล่นได้เร็วกว่า มีออาวุธปืนที่ดีกว่า รัสเซล โครว์ มาเล่นเป็นกัปตัน Jack ที่มีความสามารถไหวพริบในการบังคับบัญชาเรือ เก่งทั้งการวางแผน เก่งทั้งการบริหารและบังคับบัญชาคน และบางครั้งก็มีโชคดีด้วย ด้วยฝีมือกัปตันเขาสามารถพาเรือเซอร์ไพรส์รอดการโจมตีได้ถึง 3 ครั้ง 3 คราและในที่สุดสามารถเอาชนะและยึดเรืออาเครอนได้

ได้ยินเขาพูดกันว่า รัสเซล น่าจะได้เข้าชิงรางวัลออสการ์อีกปีจากเรื่องนี้ เราว่าก็มีโอกาสเป็นไปได้ ไม่ใช่เพราะการแสดงที่โดดเด่นอย่างเดียว แต่เพราะคิดว่าหลังๆ นี้กรรมการออสการ์มักจะให้เครดิต(มากเกินไป?)กับดาราที่เคยได้เข้าชิงออสการ์มาก่อนแล้ว พี่รัสเซลนี่ได้เข้าชิงมา 3 ปีติดต่อกันแล้ว จะได้ชิงเป็นปีที่ 4 หรือเปล่าต้องคอยติดตาม

คนอื่นๆ อาจจะชอบความมีไหวพริบ เฉียบขาด กล้าตัดสินใจ มุทะลุดุดันและเป็นฮีโร่ของกัปตันแจ็ค แต่เรากลับชอบตัวละคร Dr. Stephen Maturin หมอประจำเรือมากกว่า (ถึงมากที่สุด) ดร.สตีเฟนเป็นเพื่อนสนิทของกัปตันแจ็ค เป็นหมอผ่าตัดที่มีฝีมือสุดยอดขนาดผ่าตัดลูกกระสุนออกจากสมองคนโดยใช้ช้อนกาแฟกับเหรียญเงินได้ แล้วคนที่โดนผ่าตัดก็รอดชีวิตด้วยอ่ะนะ (แล้วยังสามารถผ่าตัดเอากระสุนออกจากพุงตัวเองได้อีกตะหาก – ฉากนี้เป็นฉากที่เราชอบที่สุดเลย เพราะมีทั้ง Drama Sentimental และ Humour ครบทุกอารมณ์ในฉากเดียว)

แต่เราไม่ได้ชอบดร.สตีเฟนเพราะความเก่งอย่างเดียวหรอกนะ แต่เขาเป็นคนที่สร้างสีสรรบรรยากาศที่แตกต่างให้กับหนังทำให้ดูสนุกขึ้นเยอะ เขาเป็นคนเดียวที่กล้าวิพากย์วิจารณ์การตัดสินใจของกัปตันได้ซึ่งๆ หน้าในขณะที่ทุกคนในเรือต้องเคารพและเชื่อฟังการตัดสินใจของกัปตันอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เป็นเพื่อนสนิทที่กัปตันปรึกษาได้(ถึงแม้จะไม่ฟังคำแนะนำก็ตาม) เป็นคนที่เล่นเชลโลคู่กับไวโอลินของกัปตันแจ็คยามพักผ่อน เป็นคนที่ไปโวยกับกัปตันเพราะผิดสัญญาไม่ยอมให้แกแวะสำรวจธรรมชาติดูนกที่หมู่เกาะกาลาปาโก้ส (สตีเฟนเป็นทั้งหมอผ่าตัดและนักธรรมชาติวิทยา ทีมาออกเรือนี่ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะได้เห็นดินแดน เห็นชิวิต เห็นพืชพรรณธรรมชาติ ที่แกไม่เคยเห็นที่อังกฤษบ้านเกิดของตัวเอง)

แล้วก็ดร.สตีเฟนคนนี้แหละเป็นสาเหตุให้กัปตันเปลี่ยนใจไม่ตะลุยเข้าไปรบกับเรืออาเครอนทั้งๆ ที่เห็นท้ายเรืออยู่ไหวๆ แต่ตัดสินใจย้อนเรือกลับไปพักที่เกาะกาลาปาโก้ส เพราะต้องรักษาชีวิตของเพื่อนสนิทเอาไว้ อาจจะฟังดูแปลกๆ ไปสักนิด แต่เราคิดว่า ถ้าคนที่วิจารณ์ในมติชนบอกว่า หนังเรื่องนี้แห้งแล้งเพราะไม่มีผู้หญิงมาสร้างบรรยากาศ เราว่าบทดร.สตีเฟนนี่แหละเป็นคนที่สร้างบรรยากาศ Feminine ให้กับหนัง

ดร.สตีเฟนเล่นโดย Paul Bettany ซึ่งเคยเล่นคู่กับรัสเซลมาแล้วใน A Beautiful Mind เป็นเพื่อนในจินตนาการของดร.จอห์น แนช ไม่รู้ว่าผู้กำกับเลือกพอลมาเล่นเพราะเห็นเป็นคนอังกฤษ หรือเพราะเห็นว่าจะมี Chemistry ระหว่างพอลกับรัสเซลกันแน่ – ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เราว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกใจเรา ถ้าพูดว่ารัสเซลน่าจะได้เข้าชิงดารานำออสการ์จากบทกัปตันแจ็ค เราว่าบทดร.สตีเฟนของพอลก็โดดเด่นและเป็นสีสันของหนังจนน่าจะได้เข้าชิงดาราประกอบด้วยเหมือนกัน (แต่อันนี้เป็นความโปรดปรานส่วนตัว คนอื่นอาจจะเห็นต่างเห็นต่างก็เป็นได้)

นอกจากบทดร.สตีเฟนที่เราชอบ พล็อตของเรื่องก็มีพัฒนาไปเรื่อยชวนให้ติดตาม เราจะไม่ค่อยสนุกอยู่อย่างก็ตอนที่เขารบกันแบบประชิดตัว คือมันชุลมุนไปหมดจนเราดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร ฝ่ายไหนตายเยอะ ฝ่ายไหนกำลังได้เปรียบ ซึ่งความจริงก็ไม่ได้เป็นข้อด้อยของหนังเรื่องนี้หรอก แต่เป็นที่ตัวเราเอง คือเราก็จะมีปัญหานี้กับฉากรบพุ่งของหนังแทบทุกเรื่องที่เราดูๆ มา (อย่าง Braveheart หรือแม้แต่ The Lord of the Rings ทั้ง 3 ภาคก็ตามที) ยังคิดอยู่ว่าโชคดีที่เราเกิดสมัยนี้ ถ้าไปเกิดสมัยที่ต้องไปร่วมรบกับพวกทหารเหล่านี้ เราคงมีปัญหาอย่างหนักกับการตัดสินใจว่าจะต้องยิงหรือเอาดาบไปทิ่มคนที่อยู่ตรงหน้าดีหรือเปล่า เพราะไม่แน่ใจว่าเขาเป็นศัตรูหรือเป็นพวกเดียวกับเรากันแน่

โลกสี่เหลี่ยม

ช่วงที่ผ่านมาเราเพลาการเขียนเรื่องราวในไดอารี่และกิจกรรมบนเว็บบอร์ดต่างๆลงไป เพราะพยายามจะหาสมดุลของการใช้ชีวิตในโลกกลมๆ ของความเป็นจริง กับโลกสี่เหลี่ยมในไซเบอร์สเปซแห่งนี้

ปีที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตในโลกสี่เหลี่ยมมากเกินไป เราพูดคุยกับเพื่อนรับรู้เรื่องราวและข่าวคราวเพื่อนผ่านทางโลกสี่เหลี่ยมมากกว่าทางโลกใบกลม ไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์หรือรับรู้เรื่องราวของคนอื่นจากโลกกลมๆ จนเริ่มคิดว่ามันไม่ค่อย Healthy (Mentally) ซักเท่าไหร่ เรากำลังสูญเสียชีวิตที่เป็นความจริงไป

นอกจากนี้การใช้เวลาเยอะแยะท่องไปในโลกสี่เหลี่ยม ก็ยังมีผลกับกิจวัตรอื่นๆ ในโลกใบกลมของเราอีกด้วย เช่น บ่อยครั้งที่เราติดพันอยู่ในโลกสี่เหลี่ยมจนเลยเวลานอน ทำให้ตื่นสาย–ไปทำงานสาย (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่รุ่นน้องที่ที่ทำงาน) แถมการนอนไม่พอก็มีผลต่อสุขภาพ พอเรานอนน้อยๆ ติดๆ กันก็จะเริ่มเจ็บคอ ไปหาหมอ หมอบอกว่าเวลานอนดึกๆ คอก็จะอักเสบ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเป็นการแสดงว่า ร่างกายอ่อนแอเพราะพักผ่อนไม่พอ (โอเค อาจจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วย แต่การพักผ่อนไม่พอเห็นผลได้อย่างชัดเจนและรวดเร็ว) อีกอย่างหนึ่งก็คือทำให้เรามีความสมาธิในการทำงานน้อย เพราะบ่อยครั้งที่เราอู้ไปเที่ยวเล่นในโลกสี่เหลี่ยมในเวลาทำงาน

ปีนี้เราก็เลยตั้งใจว่าพยายามควบคุมกิจกรรมในโลกสี่เหลี่ยม มาตรการแรกคือลดการเข้าไดอารี่และเว็บบอร์ดเวลางานให้น้อยลง เข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อสุขภาพและเพื่อจะได้ไปทำงานทันเวลา จากต้นปีก็ผ่านมาได้เกือบ 3 อาทิตย์แล้ว ปรากฎว่าเราทำตามความตั้งใจได้แค่ประมาณ 50% คงต้องเพิ่มความพยายามให้มากขึ้นกว่านี้