เรือนไม้สีเบจ
ช่วงนี้มีละครที่เราชอบเรื่องเรือนไม้สีเบจ ฉายทางช่อง ๓ วันพุธ-พฤหัส ทำมาจากนิยายของ ว. วินิจฉัยกุล เราไม่ใช่แฟนนิยายซักเท่าไหร่ (ตอนสมัยมัธยมเคยบ้านิยายเช่าอยู่พักหนึ่ง แต่อ่านก็อยู่คนเดียวคือ ทมยันตีและนามปากกาอื่นๆ ของเขา แต่หลังๆ เขามาเขียนนิยายออกแนวศาสนา–จิตวิญญาณ เราอ่านไม่เข้าใจก็เลิกไป)

เราคิดว่าเคยได้อ่านนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล บ้าง แต่ถ้าจะให้บอกชื่อก็คงบอกไม่ได้ พี่ปุ๊กซึ่งเป็นแฟนประจำสกุลไทย บอกว่า ว.วินิจฉัยกุล จะเขียนนิยายที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องคนธรรมดาๆ เป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริง

เรื่องเรือนไม้สีเบจนี้จัดเป็นนิยายรัก ไม่หวานแหววโอเว่อร์ แต่พระเอกกับนางเอกรักกันจริงจังเหลือเกิน มีเหตุการณ์ต่างๆ มาทดสอบความรักของสองคนนี้ เขาก็ค่อยๆ สอบผ่านกันไปทีละเปลาะทีละเปลาะ ได้ยินมาว่าในนิยายเขาเขียนเป็นรูปแบบบันทึกประจำวัน

ในละครเขามาทำเป็นทั้งเล่าเรื่องแบบละครทั่วๆ ไป และใช้การเขียนบันทึกควบคู่ไปด้วย (คือให้พระเอก–นางเอกทำท่าเขียนบันทึก และมีเสียง Voice Over อ่านข้อความที่เขียนในบันทึก)

แต่ที่แปลกตาไม่เคยเห็นในละครทั่วๆ ไป (แต่มุขนี้เคยเห็นในหนัง) คือ เขามีการให้พระเอกกับนางเอกมาพูดแสดงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราเพิ่งได้ดูไป เหมือนกับมีคนไปสัมภาษณ์แล้วเขาตอบคำถามอ่ะนะ

ที่บอกว่าเคยเห็นในหนัง ก็เพราะดูแล้วก็นึกไปถึงหนังเรื่อง When Harry Met Sally ตอนที่เขามีฉากคั่นเรื่องราว โดยตัดไปเป็นคู่สามีภรรยานั่งเก้าอี้โซฟา แล้วก็เล่าเรื่องคู่ของตัวเอง แต่ในเรือนไม้สีเบจนี้ เขาทำแตกต่างอยู่หน่อยตรงที่ว่า เขาจะให้พระเอกกับนางเอกอยู่ในสถานะที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ (เช่น ตอนพระเอกประสบอุบัติเหตุเดินไม่ได้ ก็เป็นพระเอกยืนเท้าไม้เท้าช่วยเดิน) ไม่ใช่เวลาผ่านไปยี่สิบสามสิบปีแล้วมารำลึกความหลัง

เราดูเรื่องเรือนไม้สีเบจแล้วชอบใจเนื้อเรื่องและการนำเสนอ แต่คิดว่าเครดิตอีกส่วนหนึ่งก็ต้องให้กับดาราด้วย แอนดริว (นามสกุล เกร็กสัน หรือเปล่า?) เล่นเป็นพระเอก (พี่อาร์ม) เชอร์รี่ เข็มอัปสรเล่นเป็นนางเอก (น้องมุก) เราชอบการแสดงของแอนดริวเป็นพิเศษอยู่แล้ว เขาดูจะเหมาะกับบทคนที่มุ่งมั่นเป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายยังไง แต่เราว่าเขาเป็นคนที่ดูมีเสน่ห์ในละครแต่ละเรื่องที่เขาเล่น

ได้อ่านตามหน้าหนังสือพิมพ์ เขาว่าแอนดริวเป็นพวกขาวีน ซึ่งหมายถึงว่าเป็นตัวของตัวเองสูง เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ ไม่แคร์สื่อ ไม่แคร์สังคม แต่ที่ทุกวันนี้ยังอยู่ในวงการได้ก็เพราะฝีมือการแสดงของเขาและความเป็นที่นิยมของเขา (ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น คนดูบ้านๆ อย่างเราก็คงไม่ไปสนใจว่าเขาจะชะเลียพวกเขียนคอลัมน์บันเทิงหรือเปล่า แต่ถ้าเขาเล่นดีเราก็ดู)

เชอร์รี่มาเล่นเรื่องนี้ก็พลิกไปจากบทเดิมๆ ที่เคยเล่น ไม่ใช่บู๊ๆ แก่นๆ ฮาๆ ตามที่เรียกกันว่าสไตล์ยูม่า แต่ต้องเล่นดรามาค่อนข้างเยอะ ตอนแรกเราก็นึกว่าจะแปลกๆ ขัดๆ หรือเปล่า แต่ปรากฏว่าเขาก็เล่นได้ดี แล้วก็ต้องบอกว่าเธอน้ำตาไหลบ่อยมาก แล้วก็ทำเราน้ำตาคลอตามไปด้วย

อย่างวันนี้ เป็นตอนที่พี่อาร์มซึ่งไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วประสบอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้ ตอนแรกน้องมุกไม่รู้ รู้แต่ว่าเกิดอุบัติเหตุก็พยายามติดต่อ ส่งอีเมล์โทรหา แต่ติดต่อพี่อาร์มไม่ได้ สุดท้ายได้จดหมายจากพี่อาร์ม เขียนบอกเลิกประมาณว่าไม่อยากให้มุกต้องเอาอนาคตมาทิ้งกับคนที่พิการเดินไม่ได้ พี่อาร์มอาจจะไม่กลับเมืองไทย มุกน่าจะได้เจอคนที่ดีมีอนาคตกว่าพี่อาร์ม (ประมาณว่า พระเอกสุดชีวิต เสียสละเพื่อคนที่เรารัก)

ปรากฏว่าน้องมุกโทรไปหาพี่อาร์ม บอกว่าจะไม่พูดมากมาย แต่ขอถามแค่คำเดียวว่า ถ้ากลับกันเป็นว่า มุกเป็นคนประสบอุบัติเหตุ พี่อาร์มจะยอมเดินออกจากชีวิตของมุกไปอย่างที่พี่อาร์มบอกให้มุกทำหรือเปล่า

พี่อาร์มเสียงเครือตอบไปว่า “ไม่มีทาง” มุกก็เลยบอกว่า “มุกก็ไม่มีทางทำแบบนั้นเหมือนกัน” (คุณผู้ชาย... อย่าดูถูกความรัก)

โห... เจอมุขนี้ก็น้ำตาร่วงสิครับทั่น... เอ้ย ไม่ใช่ เจอมุขนี้ก็ไม่ได้เลิกกันนะสิ

ที่เล่ามานี้ไม่ได้คิดโปรโมทละคร (แบบที่ตั้งใจโปรโมท โหมโรง ในสามตอนที่ผ่านมา) หรือไม่ได้คิดจะผันตัวไปเป็นสมาชิกชมรมวิจารณ์บันเทิงแต่อย่างใด แค่จะเล่าให้ฟังเฉยๆ ว่าชอบละครเรื่องนี้ ดูสนุก (คิดว่าเอานิยายมาอ่านก็อาจจะไม่สนุกเท่า) เป็นละครรักที่ทำให้รู้สึกเชื่อมั่นในความรัก (แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคิดมีความรักหรอกนะ) ถึงจะหมดหวังไปแล้วในชีวิตจริง แต่ดูหนังดูละครแล้วดอกไม้ก็ยังบานในใจได้เสมอ 5555