Cold Mountain
ช่วงที่ผ่านมาห่างหายไปจากการดูหนังโรง ด้วยความที่ยังอินอยู่กับ โหมโรง (เราชอบมากขนาดกลัวว่า ไปดูหนังเรื่องอื่นแล้วจะอิ่มอารมณ์ไม่เท่า) พอเผลอตัวอีกที อ้าวชิบเป๋ง หนังเข้ามาเต็มโรงเลย เลือกไม่ถูกและคาดว่าดีไม่ดีจะพลาดอดดูซะหลายเรื่อง

เห็นมีเรื่อง Sylvia ที่กวินเน็ธเล่นเป็นซิลเวีย แพล็ธ กวีชาวอเมริกันที่รีวิวออกมาไม่ค่อยดี เรายังไม่ทันเผลอก็โดนแทนที่ด้วย 21 grams ไปซะแล้ว เรื่องอื่นๆ ที่อยู่ในลิสต์ของเราก็มี Something's gotta give, Cold Mountain, Big Fish, Runaway Jury, รวมทั้งหนังไทยอย่าง ทวิภพ มากมายซะขนาดนี้เราก็เลยต้องเริ่มตัดใจจากโหมโรง ออกไปดูหนังตามกิจวัตร

เย็นวันศุกร์เราไปดู Cold Mountain ไม่ได้เลือกตามลำดับอะไรนอกจากว่าเวลาฉายมันกำลังดี

Cold Mountain เป็นหนังของ แอนโธนี่ มิงเกลลาที่เคยทำหนังที่เราชอบมากๆ อย่าง The English Patient มาแล้ว มาเรื่องนี้ก็เป็นแนวเดียวกัน (คงเป็นทางถนัดของแก) ประมาณเป็นความรักผูกพันลึกซึ้งและลึกลับไปพร้อมๆ กัน

หนังออกมาภาพสวย รักซึ้งโรแมนติก แต่เราชอบน้อยกว่าที่คิดอ่ะ (น้อยกว่า The English Patient เยอะ)

เราไม่ชอบในเนื้อหาที่มันมาประกอบเป็นตัวหนัง เพราะรู้สึกว่ามันถูกใส่เข้ามาเพื่อให้หนังเป็น Tragedy เพื่อเน้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล เขาเซ็ตเรื่องไว้ที่สงครามกลางเมืองของอเมริกา นางเอกย้ายตามพ่อที่เป็นบาทหลวงมาอยู่ Cold Mountain ได้แป๊บเดียว ยังไม่ทันรู้จักกันดีกับพระเอก พระเอกก็ต้องไปรบซะแล้ว

เราไม่ค่อยอินว่าพระเอกกับนางเอกจะผูกพันกันขนาดนั้นได้ไงด้วยหละมั้ง (ใครเชื่อเรื่อง Love at first sight มั่ง) แล้วมันก็มีหลายๆ ฉากหลายๆ ตอน(มากเกินไป)ที่เราดูแล้วเศร้าใจ

อย่างตอนที่ชาวบ้าน Cold Mountain กำลังร้องเพลงสวดอยู่ในโบสถ์อยู่ดีๆ แล้วมีคนมาบอกว่าตกลงประกาศสงครามแล้ว พวกผู้ชายก็ออกมาโห่ร้องดีใจ "We got our war!!" เราได้ไปรบซะที ... เฮ้อ ไอ้ความกระหายสงครามของมนุษย์ (ผู้ชาย) นี่มันเป็นไงนะ ไม่รู้จักตายไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน... แล้วก็ยังมีเหตุการณ์โหดๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่พระเอกดั้นด้นกลับมาหานางเอก และเหตุการณ์บัดซบ (ขออภัยเรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ) ที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามอีกด้วย

โอเค เรายอมรับว่าเหตุการณ์หลายๆ อย่างมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นจริงๆ แต่เราไม่อยากรับรู้อย่างชัดเจนแบบนั้น เราคาดหวังว่าจะได้ดูหนังที่มันยกใจ (หนังรันทดได้ แต่ดูจบแล้วต้องมีความหวัง อย่าง Shawshank นั่นไง น้ำตาไหลไป แต่ก็ยิ้มไปด้วย) ถ้าเราอยากรู้ความจริงขนาดนั้น เราไปอ่านประวัติศาสตร์ดีกว่า (คาดว่า คนทำหนังเขาคงตอบเราว่า งั้นเองก็ไปอ่านตำราประวัติศาสตร์เดี๋ยวนี้เลย)

ยังดีที่หนังจบอย่างที่มันจบ (หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากไคลแมกซ์ของการลุ้นว่าพระเอกจะได้กลับมาเห็นหน้านางเอกหรือเปล่าผ่านไป) ไม่เช่นนั้นเราคงจะไม่มีอะไรนึกถึงนอกจากพระเอกหล่อๆ นางเอกสวยๆ (นิโคล คิดแมนยังสวยไม่เลิก) และสำเนียงแปลกๆ ของเรเน เซลเวเกอร์

ผิดหวัง แต่เป็นไปตามคาด

เป็นความคิดเห็นของเรากับผลรางวัลออสการ์ Best Picture กับ Best Director ที่ The Lord of the Rings, the Return of the King ได้ไปทั้งสองรางวัล เราคิดว่าถ้าดูโดยตัวหนังทั้ง ๓ ภาคของ The Lord of the Rings แล้วไม่มีภาคไหนที่น่าจะได้ Best Picture เลยซักภาค

ประเด็นก็คือที่ผู้กำกับเขาพูด เขาไม่ได้ทำหนัง Sequel สามภาค แต่เขาทำหนังขนาด ๙ ชั่วโมงที่ออกฉาย ๓ ปี ถ้าออสการ์เอาทั้ง ๓ ภาคของ LOTR มาเข้าชิงรางวัลปีนี้ เราจะโอเคมากๆ กับการได้รับรางวัล Best Picture และ Best Director ไปอย่างไม่มีข้อกังขา แต่พอแตกเป็น ๓ ภาคแล้ว เราว่ามันไม่สมบูรณ์หนะ

เรายังคิดว่า ความสมบูรณ์ของ LOTR แต่ละภาคแล้ว เราอยากให้ภาค ๒ มากกว่า แต่มันย้อนกลับไปไม่ได้ไง สองปีที่แล้วเขาพลาดรางวัลใหญ่ มาได้ปีนี้เหมือนกับออสการ์ให้รางวัลชดเชยจากผลงานสองปีที่แล้วหนะ

แต่ก็ต้องยอมรับฝีมือของผู้กำกับและทีมงานของ LOTR จริงๆ รางวัลเกี่ยวกับ Production ต่างๆ นี่ สมควรรับไปอย่างเต็มภาคภูมิ แล้วก็อย่างที่พี่ปุ๊กเคยชมไว้ ว่าการจัดการโคตรจะยอดเยี่ยม เราได้ยินแว่วๆ ตอน Peter Jackson พูดเขาบอกว่าทีมงานสองหมื่นห้าพันคน อะจ๊าก... ออสการ์มีรางวัลผู้กำกับซีอีโอไหม แถมให้พี่เขาอีกรางวัลนึงละกัน

ทีนี้กลับมาว่า ถ้าเป็นเราหนังเรื่องไหนควรได้ Best Picture ล่ะ หนังเข้าชิงปีนี้ ๕ เรื่อง เราได้ดูไปแค่ ๓ คือ LOTR, Mystic River และ Master and Commander (ได้ข่าวมาว่า Seabiscuit กับ Lost in Translation จะมาเร็วๆ นี้) ถ้า ๓ เรื่องนี้เราคงให้ Master and Commander ไป (ทั้งๆ ที่เป็นหนังที่เราไม่ได้ตั้งใจเข้าไปดูเลยในตอนแรก) ความชื่นชมก็อย่างที่เล่าไปแล้วก่อนหน้านี้

ความจริง Mystic River ก็เป็นหนังที่ดี และมี Cast แน่นมากๆ (มีขวัญใจเราด้วย ก็อย่างพี่ทิม รอบบิ้นและพี่เควิน เบคอน นี่ขอบอกว่ากรี๊ดดดค่ะ - พี่ฌอน เพนน์ นี่เราเฉยๆ แต่มีบางคนเชียร์มากๆๆ 555) นักแสดงแต่ละคนนี่กินกันไม่ลงจริงๆ แต่เราชอบหนังที่ดูแล้วมีความหวังอ่ะนะ หนังจบแบบที่เป็นอยู่มันหดหู่เกินไป

เรากำลังคิดว่าถ้าจะมีการเปลี่ยนใจหลังจากได้ดู Seabiscuit กับ Lost in Translation เราก็คิดว่า Seabiscuit อาจจะได้รางวัลไป แต่ Lost in Translation คงไม่น่าจะถูกใจเรา (อันนี้เชื่อปิฯว่าหนังมันถูก Overrated)

แต่จะว่าไปเรื่องหนังเรื่องรางวัลนี่ มันพูดยากว่าเรื่องไหนสมควรชนะ หนังที่ผ่านเข้ารอบมาได้ มันก็ดีมีคุณภาพระดับหนึ่งแล้ว เรื่องไหนจะได้รางวัลสุดท้ายมันเป็นที่ว่า หนังเรื่องนั้น "ถูกจริต" คนดู (หรือคณะกรรมการ) ส่วนใหญ่ซะมากกว่า ถ้าบังเอิญปีนั้นเรา(นิจวรรณ)อยู่ในมู้ดเดียวกับคนส่วนใหญ่ ก็จะบอกว่า เออ... แหมไม่ผิดหวังเลย แต่ช่วงหลังๆ นี้เราคิดต่างตลอด ก็ดีไปอีกแบบที่ทำให้มีเรื่องมาเขียนบ่นยาวยืดอย่างนี้

ปล. เมื่อวานดูเทปงานประกาศรางวัลออสการ์ ขอบอกว่าพี่จอห์นนี่ เด็ปป์ - The sexiest man alive - ขวัญใจเบอร์ ๑ ตลอดกาลของเราหล่อมากกกกก ยิ่งได้ข่าวว่าพี่เขารับเล่นบทกัปตันแจ๊ค สแปร์โรว์ (บิลลี่ คริสตัลบอกว่าบท Slightly Gay Captain) ในภาคต่อของ Pirates of the Caribbean แล้ว ยิ่งแทบจะอดใจรอไม่ไหวเลยนะเนี่ย... อิอิอิ

ปล. ๒ พี่หนิง เรื่อง Something's gotta give นี่อาจจะต้องรอก่อนนนะ เพราะจะไปดู 21 grams ก่อนอ่ะ ดูตามดวงหนังแล้ว คาดว่าจะอยู่แค่อาทิตย์นี้อาทิตย์เดียว....