21 grams
วันนี้ไปดู 21 grams มา ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะไปดูดีไหม เห็นชื่อแล้วนึกว่าจะเป็นหนังเกี่ยวกับยาเสพย์ติด เกร็งๆ ว่าจะเป็นหนังหนักๆ ที่ดูไม่สนุก พอไปดูแล้วก็ชอบ นึกดีใจที่ไม่ได้พลาดหนังเรื่องนี้ไป

เราเห็นมีคนมาเขียนในพันธ์ทิพย์แวบๆ ว่าไม่ชอบหนังเรื่องนี้ (หมู่นี้อ้างถึงพันธ์ทิพย์อยู่เรื่อย เหมือนกับว่าเราไปแถวนั้นบ่อย ที่จริงที่เทียวไปเทียวมาก็เพราะเชียร์โหมโรงนั่นแหละ) ประมาณว่าหนังตัดต่อได้เวียนหัวมาก ไม่เห็นใจคนดู สมควรแล้วที่ไม่ค่อยมีโรงฉาย (เครือเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์มีแค่รัชโยธินที่เดียว) แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า การตัดต่อนั่นแหละที่เป็นจุดเด่น และทำให้เขาชอบหนังเรื่องนี้

แล้ว Nitchawan's verdict ล่ะ? เราเข้าข้างคนหลังแฮะ ทั้งๆ ที่ต้องยอมรับว่าประมาณ ๑๐ นาทีแรกของหนัง เรารู้สึกรำคาญกับมุมกล้องและการตัดต่อของหนังอยู่พอประมาณ

ถ้าจะให้ด่าก็ต้องบอกว่า จะพยายามทำให้มันเป็นอินดี้อะไรกันขนาดนั้น... คือแทนที่จะวางกล้องบนดอลลี่ ก็กลับถือกล้องเดินถ่ายไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพสั่นๆ และบางทีเอากล้องไปหลบๆ อยู่หลังนักแสดง หรือถ่ายจากนอกห้องผ่านประตูที่เปิดแง้มๆ อยู่เข้าไป ทำให้เห็นภาพแบบไม่เต็มตาเหมือนกับแอบๆ มอง ที่รำคาญการตัดต่อก็เพราะอึดอัดใจว่า จะพากรูไปไหนฟะเนี่ย แต่พอเผลอพักเดียวเราก็โดนเกี่ยวติดหมับ ดูไปสมองก็ปั่นติ้วไป (ไม่ได้เวียนหัวนะ แต่พยายามคิดตาม+เดาพล็อต+หาเหตุผล)

หนังเรื่องนี้เกิดทีหลังหนังอย่าง Pulp Fiction หรือ Memento เพราะฉะนั้นการนำเสนอแบบนี้ (คือ Non-sequential) ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป แต่ก็ยังเป็นหนังที่ดูสนุก (ไม่ใช่สนุกแบบหัวเราะฮ่าๆๆ นะ สนุกแบบหนังดราม่าอ่ะ น่าติดตาม) แต่ดูไม่ง่าย เป็นไปได้สูงว่าคนดูแล้วจะออกมาทำนองเดียวกับ Memento เลย คือ จะตัดสินใจว่า ชอบมาก กับ ไม่ชอบมาก ไปเลย ไม่น่าจะมีคนที่อยู่ตรงกลาง

เราเข้าไปดูหนังเรื่องนี้โดยไม่รู้เรื่องย่ออะไรเลย (อีกแล้ว) อย่างที่บอกว่านึกว่ามันเกี่ยวกับยาเสพย์ติด เพราะเห็นมีเบเนซิโอ เดลโทโร จาก Traffic เล่นด้วย แต่ปรากฏว่าผิดทางอย่างสิ้นเชิง แต่เราจะไม่บอกว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง เพราะคิดว่าจะดูสนุกกว่าถ้าไม่รู้เรื่องมาก่อน ถ้าเล่าแต่เรื่องอย่างเดียวหนังเรื่องนี้ก็เป็นแค่หนังดราม่าหนักๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น มันต้องรับรู้เรื่องราวที่มาพร้อมกับการตัดต่อลำดับภาพถึงจะได้อรรถรส

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกคือ นักแสดงเล่นดีกันทุกคนเลย เนโอมิ วัตส์ ได้เสนอเข้าชิงออสการ์แสดงนำหญิง (แต่พลาดให้ชาร์ลีซ เธรอนไป) เบเนซิโอ เดลโทโร ก็ได้เสนอชิงแสดงประกอบชาย (แล้วก็พลาดให้กับพี่ทิม รอบบินส์) ฌอน เพนน์ ไม่ได้เข้าชิงรางวัลจากเรื่องนี้ (แต่ได้เข้าชิงออสการ์แสดงนำชาย จากเรื่อง Mystic River แล้วก็ได้รางวัลเสียด้วย) แต่เราว่าเขาก็เล่นได้ดีทีเดียว

ฌอน เพนน์ไม่ได้ติดอันดับอยู่ในลิสต์ดาราสุดปลื้มของเรา และเราไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นดาราคุณภาพซักเท่าไหร่ (ดาราคุณภาพในความหมายของเราคือ ถ้ามีเขาเล่นหนังเรื่องหนึ่ง หนังนั้นไม่น่าจะห่วยแตก) แต่จากหนังสามเรื่องสุดท้ายของเขาที่เราได้ดู คือ I am Sam, Mystic River และ 21 grams เรื่องนี้ เราคิดว่าฌอน เพนน์เปลี่ยนจากจอมป่วนแห่งฮอลลีวู้ดเป็นดาราคุณภาพคนหนึ่งแล้ว (สารภาพว่าดูเรื่อง 21 grams ไปก็ชักเริ่มรู้สึกว่า พี่ฌอนนี่ก็มีเสน่ห์เหมือนกันแฮะ เริ่มเข้าใจแล้วว่าคนบางคนก็ age beautifully จริงๆ แฮะ)

ปล. ค่าตั๋วดู 21 grams วันนี้ ๑๕๐ บาท ถ้าคนที่คิดว่าประหยัดค่าดูหนังไปได้อีกเรื่องหนึ่ง จะจ่ายซักครึ่งหนึ่งมาให้สมาชิกอย่างไม่เป็นทางการชมรมวิจารณ์บันเทิงก็ได้นะ จะได้เป็นทุนให้สมาชิก (นิจวรรณ) ไปดูหนังเรื่องอื่นๆ แล้วเอามาเล่าให้ฟังอีก

ชอบ – ไม่ชอบ

หลังจากเมืองไทยได้หมีแพนด้าจากจีน ก็ดูเหมือนจะมีกระแสหมีแพนด้าออกมาเป็นระยะๆ วันก่อนดูโฆษณาแอร์เทรนแล้วตลกดี มีหมีแพนด้าสองตัวอยู่ในห้องแอร์ เล่นกันไปเล่นกันมาซักพัก หมีตัวหนึ่งหลับไป หมีอีกตัวก็แอบเดินไปที่แอร์ แล้วก็ผลุบหัวออกมาทางก้น (ฉากนี้ออกแนวอุบาทว์หน่อยๆ) ควักอุปกรณ์มาทำความสะอาดแอร์

ที่จริงหมีแพนด้าเป็นพนักงานของเทรนที่ปลอมตัวมา เพื่อมาทำความสะอาดแอร์ โดยไม่ให้รบกวนหมีแพนด้าตัวจริง... มีเสียง Voice Over ว่า "โอ้โห.. หมีบริการแด ลองผวนดูซิครับ แหม บริการดี" ดูแล้วนึกถึงโฆษณาแอร์ ชุดหมาถูกทิ้ง หน่อยๆ

เดี๋ยวนี้ทำโฆษณาต้องออกแนวฮาๆ หน่อย ทั้งที่สารที่ต้องการจะส่งออกแนวซีเรียส (คงเป็นเพราะคนสมัยนี้เครียดมาก) อย่างโฆษณาชุดเน็ตเวิร์คของดีแทคที่เอาซีอีโอสองคนมาช่วยกันปล่อยมุขนั่นก็สนุกและทำให้คนจำได้ดี

มีชอบไปแล้วก็ต้องมีไม่ชอบ ก็โฆษณาโทรศัพท์พรีเพดวันทูคอลล์ ที่โปรโมทแพคเกจโทรนานโทรต่อเนื่องไง ในโฆษณาเป็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิง (Typical ผิดๆ ของเด็กสมัยนี้คือ หน้าใส – อันนี้ไม่ได้เขียนด้วยอารมณ์อิจฉาของยัยป้า – ใส่สายเดี่ยว ฟันเหล็ก) โทรคุยกับเพื่อนชาย แล้วก็เกี่ยงกันว่าใครจะวางโทรศัพท์ก่อน

เราคิดว่ามันเป็นธรรมชาติของเด็กวัยรุ่นที่ชอบคุยโทรศัพท์กับเพื่อน คุยกันนานๆ ทั้งๆ ที่บางทีก็เจอกันที่โรงเรียนมาทั้งวัน (เราก็เคย... been there, done that!) แต่เราไม่ชอบโทนของหนังโฆษณาเรื่องนี้ และไม่ชอบที่มันชี้นำไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์ บางคนอาจจะคิดว่าโฆษณาเขาทำมาเพื่อขายของ ไม่ได้เพื่อการกุศลสร้างสรรค์สังคม แต่ก็ต้องบอกว่าทุกครั้งที่เห็นโฆษณา Hard Sell ที่ส่งสารผิดๆ ทำนองนี้ เราก็หงุดหงิดใจทุกที

"ยิ่งใช้มากยิ่งราคาถูกลง" อ่านว่า ยิ่งใช้มาก ยิ่งเสียตังค์มากตะหาก เวลานี้ใครๆ ก็มุ่งมาที่ตลาดวัยรุ่นที่ยังหาสตางค์เองไม่ได้แต่มีพ่อแม่บังเกิดเกล้าคอยหาสตางค์ใส่กระเป๋าให้อย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เห็นพูดกันอยู่เรื่อยว่ากระแสบริโภคนิยมมาแรงจนต้านไม่ไหว แต่เราสงสัยว่าเห็นว่ายากก็เลยไม่คิดพยายามต้านกันหรือเปล่า