มีความสุขขึ้น(เล็กน้อย)
ก่อนหน้านี้เราค่อนข้างจะทุกข์ใจกับที่ทำงานเพราะความสับสนในชีวิต (เป็นความทุกข์ใจค้างมาตั้งแต่ได้โปรโมทปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ทำอะไรกับมัน เพราะมันยังไม่ถึงตายและยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี) แต่ตอนนี้คิดตกแล้วเลยสบายใจ ตอนแรกเราคิดว่าเบื่อเพราะไม่ค่อยแฮ้ปปี้กับบทบาทใหม่ๆ ไม่ชอบที่จะต้องทำเนื้องานจริงน้อยลง ทำงานบริหารมากขึ้น แต่มองให้ลึกๆ ความเบื่อเกิดจากสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานเราเปลี่ยนไปในทางที่เราไม่ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ

บริษัทมีโปรแกรมใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ จุดประสงค์ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ใช้เวลาทำงานน้อยลงโดยพยายามกำหนดการทำงานให้มีขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานเหมือนๆ กันทุกโปรเจ็คต์ พยายามเน้นให้ทำงานมีคุณภาพ มีข้อผิดพลาดน้อยจะได้ไม่ต้องเสียเวลารีเวิร์ค แต่โดยสรุปรวมๆ คือ บริษัทอยากลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มกำไร

เขาพยายามจะโน้มน้าวให้พนักงานคิดว่า การที่บริษัทมีกำไรมาก การงานของพวกเราก็จะมั่นคงมีรายได้มีโบนัส แต่เรากลับคิดสวนทางว่าพวกเราอาจจะได้เงินมากขึ้นก็จริงแต่มีความกดดันมากขึ้น เครียดมากขึ้น เรามองแบบเห็นแก่ตัวสุดๆ ว่า เราไม่สนใจว่าองค์กรจะเป็นยังไง เราอยากทำงานอย่างมีความสุขมีรายได้พอเพียงเท่านั้น

ปีที่แล้วเขามีโปรแกรมที่เรียกว่า High Performance Team (HPT) ขึ้นมา เป็นทีมคล้ายๆ กับจะทำการวิเคราะห์ว่าการทำงานแต่ละอย่างต้องทำอย่างไร ถึงจะมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วกำหนดออกมาเป็นขั้นตอน มีคู่มือ มี Check List ให้ทุกคนทำตาม พอมาปีนี้ เขาจะเอา Six Sigma มาใช้

การประเมินผลของพนักงานก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนใช้วิธีหัวหน้าประเมินลูกน้อง บวกกับการประเมิน ๓๖๐ องศา ต่อมาเปลี่ยนเป็นประเมินตัวเอง คือให้แต่ละคนตั้ง Goal ขึ้นมาและประเมินว่าตัวเองทำได้ตาม Goal หรือเปล่า (แต่สุดท้ายหัวหน้าก็จะเป็นคนตัดสินอีกทีว่า Goal ที่ตั้งเป็นยังไง และผลลัพธ์เป็นยังไง) ปีนี้เปลี่ยนอีกแล้ว ยังใช้วิธีตั้ง Goal แต่เอาการ Cascade มาใช้ (คือองค์กรตั้ง Goal ว่าจะให้ได้กำไร ๔ ล้านเหรียญ แล้วซีอีโอต้องทำอะไร ถัดจากซีอีโอลงมา แต่ละคนต้องทำอะไร ลดหลั่นกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงลูกกระจ๊อกอย่างเราต้องทำอะไร แล้วประเมินว่าแต่ละคนทำได้สำเร็จหรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้ตาม Goal ของเรา หัวหน้าเราก็ทำไม่สำเร็จ ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงซีอีโอ)

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สำหรับเรามันไม่ได้มีผลต่อการทำงานของเรา มากไปกว่าการทำเอกสารที่ยากขึ้น (จนคิดว่า เดี๋ยวนี้กว่าจะได้โบนัสมันยากเย็นขนาดนี้เชียวหรือไง) เพราะปกติเราทำงานเต็มที่เท่าที่เราทำได้ในขณะนั้นๆ ไม่ว่าบริษัทจะออกโปรแกรมอะไรมาส่งเสริมหรือไม่

ถ้าเราอยู่ในอารมณ์ไม่อยากทำงาน ต่อให้กระตุ้นเท่าไหร่ หรือขู่เข็ญเท่าไหร่ ก็ไม่สำเร็จ แต่ถ้าเราอยู่ในอารมณ์อยากทำงานเราก็ทำเต็มที่ ไม่เคยคิดออม ไม่เคยกินแรง ไม่เคยคิดว่า เฮ้ย ทำได้ ๑๐๐% แต่ทำ ๖๐-๗๐ ก็พอ ทำ ๑๐๐% ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เวลาบริษัทจะมาเรียกร้องเอากับเรา จะเอาประสิทธิภาพมากขึ้นคุณภาพมากขึ้น เรารู้สึกไม่พอใจ ก็ให้ไปหมดแล้วจะมาเอาอะไรอีก จะให้ทำ ๑๑๐-๑๒๐% จะไปเอามาจากไหน

อีกอันที่เรารู้สึกว่าเปลี่ยนไปคือ เราต้องมีลูกน้อง แล้วเราก็ไม่ค่อยแฮ้ปปี้กับลูกน้องบางคน (จะว่าไปก็มีอยู่คนเดียวแหละ คือคนที่เราต้องประเมิน แล้วอยากประเมินให้ต่ำกว่า Mean แต่ทำไม่ได้อ่ะ) จะว่าไปเราเป็นหัวหน้าคนไม่ได้ เพราะเราไม่ชอบที่จะจู้จี้กับคนอื่นให้ทำงานให้เสร็จ เวลาเราได้งานมาเรา "พยายาม" ทำให้เสร็จไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน และงานน่าเบื่อแค่ไหนเราก็ทำ (อาจมีบ่นเล็กน้อย) เพราะฉะนั้นเราก็คาดหวังจากลูกน้องเราคล้ายๆ กัน

แต่ลูกน้องเราก็กลับไม่ค่อยรับผิดชอบ ต้องคอยไล่บี้งานถึงจะเสร็จ เวลาติดปัญหาก็ไม่ค่อยคิดไม่พยายามหาทาง แถมไม่ค่อยถาม ต้องให้เราไปตามงานถึงจะบอกว่าติดตรงนี้ (แล้วจะรอให้งานมันแก้ปัญหาเองได้หรือไง) เจอแบบนี้เราก็เบื่อ (ถึงจะเป็นแค่คนเดียวแต่มันก็ทำให้กวนใจได้ เรามีลูกน้องแค่ 3 คน คนเดียวก็ ๓๐% แล้วอ่ะนะ) พอได้งานมาเราก็เลยไม่ค่อยอยากจ่าย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราจะทำเอง ซึ่งอีกมุมหนึ่งเป็นเพราะเราก็สนุกกับมันด้วย เป็นพวกไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ไง แก้ปัญหางานสนุกกว่าแก้ปัญหาคน

ช่วงก่อนเราทำแบบนี้ไปก็เกิดความเครียดขึ้น เพราะเรารู้ว่าบริษัทเขาโปรโมทเราขึ้นมา เขาหวังจะให้เราแก้ปัญหาคน บริหารคน งานเทคนิคที่เราชอบและคิดว่าทำได้ดีนั้น ใครๆ ก็ทำได้ถ้าได้ทำมันบ่อยมากพอ คนที่เด็กกว่าประสบการณ์น้อยกว่าเราเงินเดือนน้อยกว่าเราก็ทำได้ ก็คิดว่าจะทำยังไงกับตัวเองดี จะกดดันตัวเองให้ทำอย่างที่บริษัทต้องการก็ทำไม่ได้ (ความสามารถเราอาจจะพอมีบ้าง ถ้าอึดๆ หน่อยพยายามมากหน่อยก็น่าจะพอถูๆ ไถๆ ไปได้ แต่ใจมันคิดว่าทำไม่ได้ ไม่ชอบ ก็ชนะยากอ่ะนะ)

เราเคยคิดว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือนไปตลอดชีวิตจนติดอยู่ในวังวน กระทั่งไม่มีความสุขกับงานที่ทำในปีที่ผ่านมาเราดันไปคิดว่าอายุอย่างเรา ถ้าไม่ชอบบริษัทนี้จะไปสมัครงานที่อื่นก็คงยาก เพราะก็คงเจอกับสถานการณ์คล้ายๆ เดิม เราคิดว่าตัวเองเราไม่มีทางไป คงต้องอยู่บริษัทนี้ไปตลอดจนกว่าจะเกษียณ

แต่วันนี้เรามาคิดได้แล้ว คือ เราไม่ "จำเป็น" ต้องอยู่ติดกับงานนี้ซักหน่อย

ตอนนี้บริษัทเขาจ่ายเงินเดือนให้เรามาก ก็เพราะต้องการความสามารถในการบริหารของเรา อยากจะให้เราเป็นหัวหน้าเป็นผู้บริหารที่ดี แต่เราก็ทำไม่เป็น เป็นได้แต่พนักงานระดับปฏิบัติการที่แก้ได้แต่ปัญหาทางเทคนิค คำว่า ผู้บริหารที่ดีหัวหน้าที่ดีในความหมายของเรา คือ สามารถทำให้ลูกน้องทำงานให้ได้ ไม่ว่าลูกน้องจะดีหรือห่วยก็ตาม ตัวเราเองได้แต่บ่นว่าลูกน้องไม่ดี ห่วย แต่ไม่รู้จะแก้เขายังไง จะดุด่าเคี่ยวเข็ญให้เขาทำงาน เราก็ทำไม่ได้ ต้องให้เขาสำนึกตัวเอง แต่ถ้าเขาสำนึกตัวเองได้จะมีหัวหน้า (ห่วยๆ ที่ไม่ทำงาน อย่างเรา) ไปทำซากอะไรฟะ

ในเมื่อดีมานด์มันไม่ตรงกับซัพพลาย มันก็ไม่ถูกต้องแน่ๆ ที่เราจะมานั่งรับเงินเดือนอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้นต้องมา Re-evaluate สถานการณ์และทางเลือกของตัวเองใหม่

เราคิดว่าคงจะต้องหาทางขยับขยายไปทางอื่นในไม่ช้า โชคเรายังดีตรงไม่มีภาระและยังมีบุญเก่าดังนั้นคิดว่าหน้าที่การงานยังมั่นคงไม่คลอนแคลน (บุญเก่า คือชื่อเสียงในการทำงานเก่าๆ ที่ทำให้นายคิดว่าเราทำงานได้ดี เป็นคนที่มีคุณค่า แต่นั่นมันคือคุณค่าในฐานะวิศวกร ไม่ใช่ในฐานนะผู้บริหาร แต่เขายังไม่รู้หรอก คงยังไม่ทันคิด) เพราะฉะนั้นเรายังรอที่จะหาโอกาสได้ โดยไม่ต้องกังวล (มากนัก) ว่าจะโดนไล่ออกก่อนเวลาอันควร

คิดตกแบบนี้ก็เลยทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น ไม่เครียดว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ แต่ทำงานแบบที่อยากทำ มีงานเข้ามาก็ทำเต็มที่ ถ้างานมากทำไม่ไหวก็จ่ายให้คนอื่น ถ้าเขาทำให้เต็มที่ก็โชคดี (สำหรับทั้งเราและคนที่ส่งงานให้เรา) ถ้าไม่เต็มที่ก็ทำใจ (คนที่ส่งงานให้เราก็ซวยไป) ไม่ต้องกลัวหรือตีตนไปก่อนไข้ว่าจะโดนด่า แถมอยู่ในอารมณ์แบบว่าอยากด่าก็ด่าไปเลย เราทำได้แค่นี้แหละ (ถ้าอยากให้เราบริหารได้ดี ก็หาลูกน้องดีๆ มาให้เราสิ อิอิ)

ทุกวันนี้มองอะไรในบริษัทเมื่อก่อนเคยขัดหูขัดตา ก็ปล่อยวาง ใจคิดแต่ว่าก็เราจะอยู่ที่นี่ไม่นานแล้ว เดี๋ยวถ้ามีอะไรดีๆ เราก็ไปแล้ว วันก่อนพี่ที่ออฟฟิศบอกว่าปีนี้เด็กจบใหม่ที่จะเรียกมาสัมภาษณ์ได้งานเร็วมาก จนเหลือคนมาสัมภาษณ์จริงแค่คนเดียว เขาบอกให้เราลองคุยกับรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์ให้เรียกรุ่นน้องมาสมัคร เราตอบเขาไปว่า "ไม่ได้หรอกพี่ คนเราถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะให้เราไปขายคนอื่นได้ยังไง นิจเองยังไม่อยากอยู่บริษัทนี้ แล้วจะไปเรียกให้คนอื่นมาได้ไง" เขาก็งงๆ ไปเล็กน้อยว่าเรามามุขไหน