ลางานไปสัมภาษณ์??
มีเรื่องขำๆ คือ ช่วงที่ผ่านมาเราทำตัวน่าสงสัย คือ ไม่มีความสนใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่พนักงานควรสนใจ เช่น จะได้โบนัสเยอะไหม เงินเดือนขึ้นเท่าไหร่ บริษัทควรเพิ่มผลประโยชน์อะไรให้พนักงานอีก ฯลฯ

เมื่อตอนต้นปีทางเมืองนอกเขาประกาศว่าผลประกอบการปีที่แล้วดี จึงมีการแจกหุ้นพิเศษให้กับคนที่มีผลงานดี เราก็ไปถามนายเราว่า แล้วคนไทยได้อะไร (คนไทยไม่ได้สิทธิ์เข้าโครงการ ESOP) นายเราก็อ้างโน่นอ้างนี่ จนเราขี้เกียจฟัง เมื่อสามสี่สัปดาห์ก่อนเขาเพิ่งมาประกาศว่า ปีนี้จะมีโบนัสเพิ่มอีก ๐.๒๕ เดือน เนื่องจากผลประกอบการปีที่แล้ว เราฟังแล้วงั้นๆ แต่คนอื่นก็คุยกันใหญ่ว่าสรุปแล้วจะได้โบนัสเท่าไหร่

ยิ่งช่วงนี้ใกล้จะประกาศเรื่องเงินเดือนใหม่กับโบนัสก็มีคนถกเรื่องนี้กันบ่อยๆ อย่างเอาจริงเอาจัง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราก็คงกระโดดเข้าไปแจมอย่างออกรสออกชาติ แต่ช่วงนี้เราก็แค่ถามเสียงเรื่อยๆ กลับไปว่า ถ้าตอนได้รับซองแล้วกลายเป็นว่าที่จะได้โบนัสเพิ่มอีก ๐.๒๕ เดือนแล้วไม่ได้ พวกเราจะไปทำอะไรได้เหรอ อย่างมากก็โวยวายไม่พอใจ แล้วได้อะไรถ้าเขาไม่ให้ก็คือไม่ให้ เราไม่มีอำนาจต่อรองอะไรหรอก พนักงานเป็นแค่เฟืองจักรตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีเราเขาก็เอาคนอื่นมาแทนได้

นอกจากนี้เราก็ลางานแบบแปลกๆ คือ ลางานกลางสัปดาห์ ลาครึ่งวันเช้า (ไปทำธุระส่วนตัว เช่น เอากล้องไปซ่อม ไปโอนที่ แต่ไม่ได้บอกคนอื่น) ตอนแรกก็มีมุขแซวกันว่า นิจวรรณลางานไปสัมภาษณ์ที่อื่น หัวหน้าเราก็ยังขำๆ อยู่ แต่พอเกิดซ้ำๆ สองสามครั้ง หัวหน้าเราก็ชักจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง (เขาบอกเป็นเชิงแนะนำว่า อย่างเราไม่ต้องไปหางานใหม่แล้ว ถ้าออกจากงานนี้ก็ไปทำธุรกิจส่วนตัวดีกว่า)

นี่วันนี้ (ที่จริงต้องเป็นเมื่อวานแล้วสิเนอะ เพราะอัพเดทนี่เลยเที่ยงคืนแล้ว) เราก็ลางานครึ่งวันเช้าอีกแล้ว เพราะเครื่องซักผ้าเสีย นัดช่างให้มาซ่อม พี่ที่สนิทกันอีกคนก็ถามเล่นๆ ว่า "นิจวรรณ สัมภาษณ์คราวนี้รอบสุดท้ายแล้วใช่ไหม" (มุข) หัวหน้าเราก็ชักงงๆ ประมาณว่า เออ หรือว่ามันจะไปสัมภาษณ์งานจริงๆ

จะไปทำงานกับดร.สมเกียรติ

เรายังไม่ได้ไปสัมภาษณ์งานที่ไหนหรอก แต่คิดจะสมัครงานใหม่อยู่เหมือนกัน โดยเป็นไอเดียของแม่ไอโกะ ที่สานต่อมาจากเรื่องที่เราเคยเล่า เรื่องรายการโลกยามเช้าของดร.สมเกียรติ ว่ารับสมัครนักข่าวไม่ได้ซักที

แม่ไอโกะฟังเราบ่นเรื่องงานมากๆ ทนไม่ไหว ตอนแรกก็บอกว่าแกออกจากงานมารับแปลหนังสืออยู่บ้านก็ได้ คงได้ซักหมื่นสองหมื่น ไม่เยอะแต่ก็พออยู่ได้ จะติดอยู่ก็แต่ว่าแม่อาจจะเป็นกังวล เพราะแม่รู้สึกว่ายังไงทำงานบริษัทก็น่าจะมั่นคงกว่า (ซึ่งไม่จริงหรอก แต่มันเป็นความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงยาก)

เราก็คิดๆ อยู่ว่างานแปลนี้ก็เป็นอันหนึ่งที่น่าสนใจ และเป็นแผนสำรองได้ในกรณีที่หัวหน้าเราเกิดคิดได้ขึ้นมา ว่านิจวรรณมันทำงานบริหารไม่ได้หรอก จ้างไปก็ไม่คุ้มเงินเดือน เอามันออกดีกว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเราก็ยังพอมีทางไป

เมื่อวันก่อนอยู่ๆ แม่ไอโกะก็โทรมา แล้วพูดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า คิดได้แล้วว่าเราควรจะไปทำอะไรดี ให้ไปสมัครงานกับดร.สมเกียรติ ไม่ต้องเป็นนักข่าวก็ได้ แค่ไปทำงานแปล หรือทำอะไรก็ได้ที่เขามีให้ทำ เงินเดือนก็ไม่ต้องเรียกสูงมาก เพราะเราน่าจะได้ทำอะไรที่น่าทำกว่าการกลุ้มใจกับลูกน้อง

พอดีตอนนั้นเรากำลังยุ่งๆ ก็เลยตอบไปว่าแกจะบ้าเหรอ แม่ไอโกะบอกว่าโทรไปคุยกับเขามาด้วย (บ้าจริงๆ) หมายถึงคุยกับคนที่รายการนะไม่ใช่ดร.สมเกียรติ แล้วก็บอกให้เราลองส่ง Resume ไป

ตอนโน้นที่ดร.สมเกียรติหานักข่าวไม่ได้ เราก็คิดว่าน่าสนใจเหมือนกันแต่เราคงไม่ไปทำไม่ได้ (จบวิศวะเนี่ยนะ) แต่ตอนนี้คิดว่าไม่เห็นจะมีอะไรเสียนอกจากกระดาษสองสามแผ่นกับสแตมป์ ก็เลยบอกแม่ไอโกะไปว่า เดี๋ยวเราเอา Resume เก่าๆ ของเราให้แม่ไอโกะช่วยเอาไปแก้ไขแล้วส่งที (อายอ่ะ ไม่กล้าส่งเอง Resume เราอุบาทว์จะตายไป)

ตอนนี้บางทีทำงานๆ อยู่ ก็คิดว่าทำๆ ไปก่อน ถ้าไม่ชอบไม่ถูกใจ เดี๋ยวเราจะไปทำงานกับดร.สมเกียรติแล้ว (อิอิอิ) ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ส่ง Resume ให้แม่ไอโกะเลย (บ้าๆ บอๆ พอกัน)

เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา แต่ถ้าเราทำใจได้และไม่เครียดกับมัน ก็ดีมากแล้ว

Sick Sigma

วันก่อนมีการทำแบบสอบถามที่บริษัทเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในบริษัท เพื่อเอาไปใช้กับโปรแกรม Six Sigma เขาบอกว่าบริษัทใหญ่หลายๆ ที่เอา Six Sigma ไปใช้แล้วประสบความสำเร็จ อย่าง GE (General Electric) เรากลับคิดว่านี่เป็นความคิดแบบเอาอย่าง

เราคิดว่า มันไม่มี "สูตรสำเร็จ" ในการประสบความสำเร็จหรอก อย่างจีอีเขาใช้ Six Sigma ได้ เพราะขายของที่เขาเป็นเจ้าเทคโนโลยี และตลาดก็เกือบๆ จะเป็นโมโนโพลี่ การแข่งขันน้อย (ถึงน้อยที่สุด) ขาย Steam Turbine Gas Turbine เนี่ยมีอยู่แค่ไม่กี่เจ้า เขาทำตัวแย่ยังไงคนก็ต้องซื้อของเขา ของที่เขาขายเขาก็เป็นคนกำหนด Spec

คิดดูเราจะตกลงซื้อของกับเขา เราน่าจะบอกได้ว่านี่ไม่เอา นั่นต้องเปลี่ยน แต่กับจีอี เราบอกเขาได้ว่านี่ต้องแก้ แต่เขาไม่แก้อ่ะ เพราะฉะนั้นการทำงานของจีอี ถึงทำเป็นมาตรฐานได้ (ก็ Drawing ของพี่แกนะ ทำเป็นมาตรฐานไว้เลย กี่โปรเจ็คต์กี่โปรเจ็คต์ก็แบบเนี้ย บอกให้มันแก้อะไรมั๊นก็ไม่แก้ พูดอะไรไปเหมือนพูดกับกำแพง)

แต่งานอย่างที่บริษัทเราทำมันไม่ใช่แบบจีอี เจ้าของบอกว่าจะเอาอะไร เราก็ต้องยอมเขาไปหมด (ต้อง "ได้ครับพี่ ดีครับทั่น" ตลอด)

สรุปว่าเราคิดว่า Six Sigma ก็เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่บริษัทเอามาคั่นจังหวะหลังจาก HPT ต่อไปจะมีอะไรมาอีก จะประสบความสำเร็จหรือเปล่าก็ต้องรอดู ถ้าเรายังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ลาออก (ไปทำงานกับดร.สมเกียรติ :) ) หรือโดนไล่ออกไปซะก่อน