ปัญหาของคนอื่น
ในที่สุดก็ได้รับซองแจ้งเรื่องเงินเดือนใหม่กับโบนัส คำถามที่เตรียมไว้เป็นหม้ายอีกตามเคย เพราะหัวหน้าใหญ่ให้หัวหน้าเล็กที่ไม่สามารถตอบคำถามได้มาเป็นคนแจกซองแทน

เราไม่มีปัญหาอะไรเงินเดือนใหม่กับโบนัสของเราเพราะไม่ได้คาดหวังไว้มาก คิดว่าได้ขึ้นซักพันหนึ่งก็โอเค ผลออกมามันเกินพันก็ไม่ว่าอะไร แต่ที่เขาบอกไว้ว่าจะได้โบนัสเพิ่มอีก ๐.๒๕ เดือนไม่เป็นความจริง มีคนถามว่าทำไมพูดแล้วไม่เป็นคำพูด หัวหน้าเล็กเลยเข้าไปถามหัวหน้าใหญ่ (เรายังย้ำสัจธรรมเดิม ถ้ายังไม่ได้อะไรเป็นลายลักษณ์อักษร อย่าเพิ่งเชื่อ)

เขาปิดประตูคุยกันพักใหญ่ หัวหน้าเล็กก็ออกมาบอกว่าหัวหน้าใหญ่เขาเคยบอกในที่ประชุมพวกบิ๊กๆ แล้ว ว่าต้องยกเลิกโบนัสตัวบวกไปก่อน แต่เขาลืมบอกพวกเรา (อ้าว...) เหตุผลก็คือ เพราะบริษัทเรามีสามส่วน ปีที่ผ่านมาส่วนของเรางานตรึม ส่วนอีกสองส่วนเงียบฉี่ สองส่วนนี้เขาไม่ได้โบนัส พวกเขา (บิ๊กๆ) ก็เลยตกลงกันว่ามันน่าเกลียดไปที่ส่วนของเราจะได้โบนัสกันกระหน่ำซ้ำเติม ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ไม่ได้ (เราว่าไม่เห็นเกี่ยวกัน ที่จริงก็คือเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่ต้องจ่ายเงินเยอะ ก็เขาตั้ง goal ไว้ว่าจะต้องได้กำไรสะสม ๑๐๐ ล้านเหรียญใน ๔ ปีอ่ะ ประหยัดตรงไหนได้ก็ต้องประหยัดละ)

เราฟังเหตุผลเขาแล้วก็หัวเราะหึหึ ก็อยู่ที่นี่มานานจนชินชา ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ ไม่มีอะไรทำให้หงุดหงิดได้อีกแล้ว เขาว่าไงก็ว่างั้น

เรื่องตัวเราเองไม่ว่าอะไร แต่กลับมาเครียดแทนเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ลูกน้องเราได้โปรโมทปีนี้ แต่ได้เงินเดือนขึ้นไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ (สมัยก่อนเราได้ ๒๐%) นี่รวมทั้งปรับเงินเดือนประจำปีแล้วด้วยนะ (สมัยก่อนเราได้เงินโปรโมทแยกต่างหากจากเงินเดือนขึ้นประจำปี เพราะถือว่าเงินเดือนขึ้นส่วนหนึ่งเป็นการปรับเพื่อให้ทันกับอัตราเงินเฟ้อ) ลูกน้องเราได้โปรโมทแต่เงินเดือนมากกว่าเดิมไม่ถึงสองพัน

หัวหน้าเล็กบอกว่าเข้าไปคุยนานก็ถามเรื่องโปรโมทด้วย ว่าทำไมไม่ได้เงินก้อนใหญ่เพื่อขยับฐานเงินเดือนขึ้น หัวหน้าใหญ่แก้ตัว-อ้าง-ไปน้ำขุ่นๆ-ว่า ไม่มีการโปรโมทแบบนั้นอีกแล้ว สมัยนี้การโปรโมทคือ ได้เงินเดือนขึ้นเยอะกว่าคนปกติหน่อยหนึ่ง (ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่เราเจอมาเมื่อปีที่แล้ว) เราฟังก็นึกเลยว่าทำหยั่งงี้เดี๋ยวพนักงานก็ลาออกกันหมดพอดี

คิดดูบริษัทเราเงินเดือนขึ้นเฉลี่ยประมาณ ๕-๖% เอา ๗๒ ตั้ง หารด้วย ๖ ก็พบว่าต้องใช้เวลาถึง ๑๒ ปี ถึงจะได้เงินเดือนเป็นสองเท่าของปัจจุบัน (เลข ๗๒ เป็นตัวเลขมหัศจรรย์ในการหาดอกเบี้ยทบต้น) เด็กจบใหม่ๆ พวกนี้เงินเดือนไม่ถึงสองหมื่น ต้องทำอีกสิบสองปียังได้เงินเดือนไม่เท่ากับเงินเดือนเราตอนนี้เลย (ตอนนี้รู้สึกผิดหน่อยๆ ว่า เราได้เงินเดือนเยอะเกินไปหรือเปล่าเนี่ย - เราทำงานมา ๘ ปีแต่บริษัทบวกให้อีก ๑-๒ ปีเนื่องจากจบโท แต่ที่เราเงินเดือนขึ้นมาเยอะได้ ก็เพราะเงินเดือนจะขึ้นก้าวใหญ่เวลาได้โปรโมท) คนบางคนที่ทำงานไม่เต็มปี ได้เงินเดือนขึ้นประมาณ ๓% (บางคนไม่ได้ขึ้นเลย)

เป็นแบบนี้ท้อแท้นะ

ที่แย่ไปกว่านั้นคือดูเหมือนปีนี้เขาขึ้นเงินเดือนเป็นเปอร์เซ็นต์โดยไม่สนใจอัตราเงินเดือน คนที่เงินเดือนเยอะได้ขึ้น ๕% ก็เป็นพันหรือหลายพัน แต่คนที่อัตราเงินเดือนขั้นต้นๆ ได้ขึ้น ๕% คิดเป็นตัวเงินก็ไม่เท่าไหร่ มีคนเคยพูดให้เราฟังว่าบางบริษัทเขาจะใช้วิธีดูอัตราเงินเดือนควบคู่ไปด้วย เช่นคนเงินเดือนประมาณสองหมื่นได้ขึ้นเฉลี่ย ๑๐% (ผลงานดีได้ ๑๒-๑๕% ผลงานห่วยเอาไป ๗-๘%) แต่คนเงินเดือนสี่ห้าหมื่นอาจจะได้แค่เฉลี่ย ๕% (ผลงานดีได้ ๖-๗% ห่วยๆ ได้ ๒-๓%) แบบนี้ก็จะได้แฮ้ปปี้กันถ้วนทั่ว

พอได้ขึ้นเปอร์เซ็นต์เท่าๆ กันหมด เด็กเงินเดือนน้อยๆ ก็เศร้า เฮ้ย... ห้าเปอร์เซ็นต์ได้เพิ่มไม่ถึงพัน แล้วยิ่งนานไปช่องว่างมันจะยิ่งถ่างขึ้นไปเรื่อย ระหว่างคนเงินเดือนน้อยกับคนเงินเดือนมาก

เราคิดว่าโชคดีที่เราเข้ามาทำงานตั้งแต่ตอนบริษัทยังไม่เขี้ยวลากดินขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ตอนจะจ้างก็กดเงินเดือน (ให้ดีกว่าราคาตลาดหน่อยเดียว) โบนัสก็ได้แค่เดือนเดียว (ได้ข่าวว่าพวกทำโรงงานได้กันคนละ ๒-๓ เดือน) ปรับเงินเดือนที่นึงก็ทีละจึ๋ง ได้โปรโมทเงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นแบบก้าวกระโดด

ไปๆ มาๆ มันจะกลายเป็นทำงานแบบไปด้วยแรงเฉื่อยเหมือนพวกทำงานราชการ ต้องทำอึดๆ ทนๆ ไปจนพ้นจากช่วงสโสว์สตาร์ท พอพ้นจุดหนึ่งไปเงินเดือนถึงจะขึ้นเยอะทันใจ (แต่ถ้าทนไม่ได้ก็คงต้องออกไปก่อน)

ผลจากการประกาศเงินเดือนกับโบนัส สร้างความไม่ค่อยพอใจกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะกับเด็กใหม่ๆ พวกแก่ๆ ไม่ค่อยเดือดร้อน เดาได้สองทาง หนึ่งคือโอเค สองคือชินชาจนไม่สนใจไม่คาดหวัง เราเป็นพวกหลัง

เราบอกเด็กๆ ว่าใครอึดอัดไม่พอใจอะไรให้เข้าไปคุยกับหัวหน้าใหญ่ บอกเขาไปตรงๆ เลยก็ได้ว่าผิดหวังมาก ทำให้รู้สึกอยากหางานใหม่ ถ้าตลาดข้างนอกมีที่ดีกว่าก็จะไป ฯลฯ แต่เท่าที่รู้ยังไม่มีใครเข้าไปคุย ทุกคนคิดกันแต่ว่าคุยไปก็ไม่มีประโยชน์ มันประกาศออกมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (บางคนก็กลัวว่าถ้าบอกว่าจะหางานใหม่แล้ว โดนบอกว่างั้นไปตอนนี้เลยแล้วกัน)

แต่เรากลับคิดว่า มันไม่มีอะไรจะเสีย (นอกจากน้ำลาย) เราบอกว่าปีที่แล้วเราก็ไม่พอใจและเข้าไปคุยเหมือนกัน เขาไม่ได้แก้ไขอะไรแต่อย่างน้อยเขา "ต้อง" ได้รับรู้ว่าเราไม่พอใจ (นะเฟ้ย) เรื่องบางเรื่องบางทีมันไม่มีทางแก้ (ในทันทีทันใด) แต่อย่างน้อยได้ระบายออกมามั่งมันก็หายตันใจ

คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบพูดเรื่องแบบนี้หรอก ส่วนใหญ่ไม่พอใจก็หางานใหม่ (ไม่พอใจนี่รวมทุกอย่าง เงินเดือน เนื้องาน หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ) ถ้าหาได้ก็ลาออกไปโดยที่บริษัทไม่ได้รับรู้ว่าทำไม่ถูกใจพนักงานตรงไหน หัวหน้าเราเป็นฝรั่งเขาคิดแบบฝรั่ง ว่าถ้าไม่บ่นคือไม่มีปัญหา ถ้ามีปัญหาต้องบ่น (ฝรั่งชอบโวยวายตรงๆ ซึ่งๆ หน้า คนไทยชอบซุบซิบและบ่นกับคนที่ไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง)

เราก็ไม่รู้จะช่วยยังไงจะให้ไปบ่นแทนก็ใช่ที่ (เพราะเราลอยตัวไปแล้วด้วย เห็นแก่ตัวมากเลยเนอะ) เราคิดแบบฝรั่งว่า ถ้าเราเดือดร้อนเราต้องโวยวายเอง จะให้คนอื่นโวยแทนก็ไม่ได้ เพราะเขาอาจจะยังทนได้ ยังไม่เดือดร้อนเท่าเรา

หัวหน้าเล็กเราเป็นคนไทย ความคิดของเขาก็ดันสับสนกลับไปกลับมา บางทีก็มีอารมณ์ร่วมกับพวกน้องๆ ว่าบริษัทโหดร้ายให้เงินเดือนขึ้นน้อย แต่บางทีก็กลับไปเข้าข้างนายจ้าง บอกว่าสมัยก่อนเขาทำงานที่อื่นก็เงินเดือนขึ้นน้อยๆ แบบนี้หละ ขึ้นทีละพัน เราถามว่าแล้วพี่ทนได้ไหม โวยหรือเปล่า เขาบอกว่า พี่คิดๆ ตอนนั้นเงินเดือนหมื่นสอง ขึ้นปีละพันสิบปีหมื่นหนึ่ง เป็นสองหมื่นสอง ไม่ไหวโว้ย.. ลาออกดีกว่า (อ้าว แล้วกัน) เขาบอกว่าโบนัสของบริษัท Engineering ส่วนใหญ่ก็แค่เดือนเดียวทั้งนั้น ฯลฯ

เราฟังแล้วก็ชักสับสน ตกลงที่อื่นๆ เขาเป็นยังไงกันแน่ เงินเดือนขึ้นกันเยอะหรือเปล่า โบนัสได้เยอะกันหรือเปล่า ไอ้เราก็เคยทำอยู่ที่นี่บริษัทแรกและบริษัทเดียว ใครมีประสบการณ์ อยากแสดงความคิดเห็นก็มาบอกกันหน่อยสิว่ามันยังไงกันแน่

"เงินเดือนเป็นเรื่องกวนใจ แต่ได้เท่าไหร่ก็ไม่มากเกินไป" - นิจวรรณ :)

ปล. ถ้าสงสัยว่าไหนบอกว่า ทิ้งทวน ไปแล้ว มาอัพเดทไดอารี่อีกทำไม ไปดูที่นี่จ้ะ