ฝน พายุ ทางหลวง ด้อยพัฒนา
วันนี้ฝนตกซะที ดีใจเป็นที่สุด :-)

ตอนจะออกจากบ้านเพิ่งเริ่มมีละอองฝนมากับลมที่พัดแรงๆ แต่พอออกไปถึงถนนใหญ่ฝนก็ลงเม็ดใหญ่ๆ พอขึ้นทางด่วนนี้แทบจะต้องคลาน (หมายถึงรถนะ ไม่ใช่คน) ต้องเปิดไฟหน้ารถและขับรถด้วยความเร็ว ๔-๕๐ กม.ไปตลอดทาง

ระหว่างทางตามแยกต่างๆ ที่มีสะพานข้าม เห็นมอเตอร์ไซค์จอดหลบฝนใต้สะพานกันตรึมเลย ประมาณว่าฝนตกหนักมากจนไปไม่ได้ คงไม่ได้กลัวเปียกอย่างเดียว แต่กลัวเกิดอุบัติเหตุเพราะถนนลื่นและทัศนะวิสัยไม่ดีด้วย กว่าเราจะถึงออฟฟิศฝนก็ตกหนักชุ่มฉ่ำ น้ำท่วมถนนเป็นระยะๆ เพราะไหลลงท่อระบายน้ำไม่ทัน

ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนที่เรารอฝน เวลามองไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นฟ้าครึ้มทีไร เราก็จะบอกว่า โอ๊ย... ฝนจะตกแล้ว (ลุ้นๆๆ มาตลอดเพิ่งมาสมใจนึกเอาวันนี้เอง) น้องคนหนึ่งซึ่งบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานมาก (๒ ป้ายรถเมล์) ก็รีบพูดขึ้นว่า เออดี... เดี๋ยวรถติดตรึมแน่ๆ (ประมาณว่า เขาไม่ต้องกลัวรถติดเพราะเดินกลับบ้านได้) เราก็เลยบอกว่า "อ๋อ ใช่ ฝนตก รถติดมาก... แล้วน้ำก็ท่วมฟุตบาทด้วย" น้องเลยอึ้งไป (แกต้องเดินลุยน้ำกลับบ้าน สม...)

วันนี้ตอนเช้าเราไปถึงที่ทำงาน คำถามแรกที่ถามน้องคนนี้คือ "เมื่อเช้าว่ายน้ำมาหรือเปล่า" ปรากฏว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะวันนี้น้องคนนี้เดิน "ตีนเปล่า" ในออฟฟิศเกือบทั้งวัน เพราะน้ำเข้ารองเท้า ต้องรองเท้าผึ่งลม

พายุอีเมล์

เราได้อารมณ์ดีกับฝนตกแต่ต้องเซ็งกับงาน เพราะ PDE ของโปรเจ็คต์เราที่เมืองนอกบ่นมาทางหัวหน้าเราว่า ทาง Engineering มีเราทำงานเขาให้อยู่คนเดียว ตอนนี้งานเยอะเขากลัวงานเสร็จไม่ทัน เขาสังเกตว่าหลังๆ นี้ส่งงานมาก็จะได้คืนค่อนข้างช้า

หัวหน้าก็มาถามเรามีปัญหาเรื่องจะหาคนช่วยหรือเปล่า เราบอกว่าช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมามันก็มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะคนลากันหมด จะเอาใครมาช่วย แต่ตอนนี้เราก็ไล่ทำเกือบทันแล้ว เขาเข้าประชุมกับเมืองนอกเมื่อวานก็บอกตูมไปเลยว่า ตอนนี้ทำงานทันหมดแล้ว เช้าวันนี้ลุยฝนเสร็จต้องเผชิญมรสุมอีเมล์ในออฟฟิศอีก

สรุปว่าเรามีงานในมือประมาณ ๑๐ อย่าง เขาจะเอาวันศุกร์นี้มั่ง วันจันทร์-วันพุธหน้ามั่ง แต่อาทิตย์หน้ามีวันหยุดอีกแล้ว (ความจริงน่าจะแฮ้ปปี้นะ ทำงานวันเว้นวัน แต่ตอนนี้กลายเป็นไม่อยากให้หยุด ขี้เกียจมาไล่เก็บงานที่คั่งค้าง) สรุปว่ากลายเป็นทุกอย่างจะต้องเสร็จวันศุกร์นี้ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่เราไม่เครียดหรอกนะ (แค่เซ็งเฉยๆ) เราก็ทำเท่าที่ทำได้ (อยากได้มากกว่าที่เราทำได้ ก็ทำเองสิ)

ทางหลวงเอเชีย

วันก่อนดูรายการดร. สมเกียรติตอนเช้า เขาพูดเรื่องการลงนามในข้อตกลงเรื่องทางหลวงสายเอเชียซึ่งจะทำให้พวกเราสามารถขับรถไปยุโรป, จีน, ญี่ปุ่น ฯลฯ ได้ ประมาณว่าประเทศในทวีปเอเชียกับยุโรปจะเชื่อมกันด้วยถนนทั้งหมด

คนที่ไปลงนามในข้อตกลงวันนั้นคือ รมช. คมนาคมหรือไงเนี่ยแหละ (โภคิน พลกุลหรือเปล่า) ดร. สมเกียรติได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์วันนั้นด้วย เขาก็ถามรมช. ว่า หลังจากลงนามกันไปแล้วยังต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก อีกกี่ปีจะเราถึงจะได้ขับรถไปยุโรปจริงๆ

รมช. ตอบว่า ของไทยทำเสร็จเกือบหมดแล้ว ประมาณว่าเหลือแค่ติดป้ายสัญลักษณ์ทางหลวงเอเชีย (เขาจะใช้ตัวอักษร AH นำหน้า) แต่จะเปิดใช้จริงเมื่อไหร่ คงต้องดูประเทศอื่นๆ เขา เพราะหลายๆ ประเทศก็ยังต้องการความช่วยเหลือหรืองบประมาณก่อสร้าง

ฟังแล้วดูดีนะ เหมือนกับว่าเราพัฒนาแล้ว เราเสร็จก่อนคนอื่น ล้ำหน้าไปไกล แต่เรานึกสงสัยว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ถึงแม้เรามี Infrastructure สำหรับโครงการนี้ แต่เราพร้อมแล้วจริงหรือ คิดง่ายๆ ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาต้องลุ้นกันแทบตาย กลัวว่ายอดอุบัติเหตุจากการเดินทางจะพุ่งเกินกว่าปีที่แล้ว การรณรงค์ให้คนเมาไม่ขับ คาดเข็มขัด สวมหมวกกันน็อคทำไม่ค่อยจะสำเร็จเลย แล้วนี่ยังต้องทำตามกฎจราจรของทางหลวงเอเชียอีก

ท่าทางความฝันที่ว่าจะขับรถไปเที่ยวยุโรปจะกลายเป็นฝันที่ไม่ค่อยโสภาซะเท่าไหร่

ด้อยพัฒนา

พูดเรื่องอุบัติเหตุ ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเห็นรายการโทรทัศน์มีคนที่พิการเพราะประสบอุบัติเหตุ เนื่องจากเดินทางไปในรถที่คนเมาขับ ประมาณว่าจะเป็นการเตือนใจกระตุ้นให้คนดูสำนึกหรือเกรงกลัวหรือระมัดระวังตัวในการเดินทาง นอกจากตัวเองจะต้อง เมาไม่ขับ แล้ว คนอื่นเมาก็อย่าให้เขาขับ อย่านั่งไปกับเขา

นอกจากพูดเรื่องนี้แล้ว คนที่มาในรายการเขาบอกว่า ที่เขาพิการส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนที่มาช่วยตอนที่เขาเกิดอุบัติเหตุ เคลื่อนย้ายเขาไม่ถูกวิธี ทำให้เส้นประสาทเสียหายหนักมาก ทำให้เราคิดถึงซีรี่ส์ ER ทางยูบีซีขึ้นมาทันที

ใน ER เป็นเรื่องของหมอที่ทำงานในห้องฉุกเฉิน (Emergency Room) คนไข้ที่มาที่ ER จะมีรูปแบบต่างๆ ทั้งประสบอุบัติเหตุ โดนทำร้าย เจอภัยธรรมชาติ ฯลฯ เจ้าหน้าที่เขาจะมีความรู้มากในการปฐมพยาบาลและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เครื่องไม้เครื่องมือที่เขาใช้ก็ครบครันทันสมัย

แต่ในเมืองไทยจะไม่เป็นแบบนั้น เราคิดว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยของไทย ไม่ทั้งหมดที่มีความรู้อย่างถูกต้องในการช่วยเหลือและปฐมพยาบาล ที่มีเต็มร้อยคือหัวใจอยากจะช่วยเหลือคนอื่น แต่ต้องยอมรับกันว่าการช่วยเหลือที่ไม่ถูกต้องบางทีอาจจะกลายเป็นการทำอันตรายอย่างร้ายแรงให้กับคนประสบเหตุ

นอกจากเรื่องความรู้ของเจ้าหน้าที่ ก็ยังมีเรื่องข้อจำกัดของเครื่องมือเครื่องไม้อีกด้วย บางทีเกิดอุบัติเหตุรถชนเทกระจาด บ้านเราก็ไม่มีเครื่องมือเครื่องไม้จะรับมือกับสถานการณ์หนักๆ แบบนั้น กว่าจะขนกันไปถึงโรงพยาบาลบางทีจากที่เจ็บน้อยก็กลายเป็นเจ็บมาก หรือบางคนถึงมือหมอช้าไป

เราไม่รู้ว่าในความเป็นจริงที่อเมริกาเขาเป็นแบบใน ER หรือเปล่า แต่คิดว่าน่าจะใกล้เคียง (เพราะดูจากบริษัทเราเอง ก็เข้มข้นในเรื่องความปลอดภัยเหมือนกัน เขามีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอบรมปฐมพยาบาลแบบถูกต้อง) ดูแล้วอิจฉาใน "ความพัฒนา" ของเขาจริงๆ

คนอื่นอาจจะตีความว่าประเทศที่พัฒนาแล้วต้องมีอุปกรณ์ทันสมัยโน่นนี่ แต่ในความคิดเรา การพัฒนา คือการมีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างน้อยเวลาเจ็บป่วยก็ควรได้รับการรักษาถูกต้อง ซึ่งในแง่นี้ก็เราต้องยอมรับว่าที่ประเทศอย่างอเมริกา หรือประเทศที่เรียกว่า กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เขาพัฒนากว่าไทยจริงๆ (แต่ถ้าเรื่องหัวจิตหัวใจ ใครจะพัฒนากว่ากันก็แล้วแต่คนจะคิดกันไป)