แมงมุมลายตัวนั้น
ค่ำวันอาทิตย์ก่อนโน้นขับรถกลับจากแม่กลอง พอดีตอนกลางวันชาร์จแบตโทรศัพท์แล้วไม่ได้เก็บสายชาร์จให้เรียบร้อย ถอดจากปลั๊กแล้วก็ยัดใส่กระเป๋า ระหว่างขับรถ รถติดๆ เป็นช่วงๆ ก็เลยจะเอาสายชาร์จมาพันเก็บให้เรียบร้อย ตอนหยิบสายออกมาก็รู้สึกว่าเหมือนมีใยอะไรยืดๆ แบบใยแมงมุมติดออกมาด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

พอเอาสายชาร์จเก็บใส่กระเป๋า ก็ควานๆ หาโทรศัพท์ จะเอามันไปใส่ช่องที่มันหยิบง่ายๆ เพราะพอมันนอนอยู่ก้นกระเป๋า เวลาแม่โทรมาก็จะลนลานหา โทรศัพท์ไม่เจอรับไม่ทัน กำลังควานๆ ไปนิ้วก็ไปโดนอะไรหยุ่นๆ กระดึบๆ สะดุ้งเฮือกรีบชักมือออกด้วยความตกใจ ปัดกระเป๋าไปนอนอยู่ที่พื้นตรงที่นั่งข้างคนขับ ใจเต้นตึกตักตึกตัก

พอรถติดอีกรอบก็ทำใจดีสู้เสือ เปิดไฟหยิบกระเป๋ามา ค่อยๆ รื้อของในกระเป๋าออกมากองบนที่นั่งข้างๆ (ถ้ามีตัวอะไรเด้งออกมาตูจะทำไงดีฟะ) รื้อของออกมาจนหมดก็ไม่เจออะไร แต่เรามั่นใจมากกว่า มือเราโดนตัวอะไรที่มันผิดปกติแน่ๆ แต่เมื่อไม่เจอก็เอาของใส่กระเป๋ากลับไป

ระหว่างขับรถก็คิดตลอดว่า หรือไอ้ตัวที่ว่านั่นจะคลานหนีออกไปตอนที่เราปัดกระเป๋าตกลงไป แล้วถ้ามันคลานหรือกระโดดมาเกาะเราระหว่างขับรถ เราจะทำยังไง ฯลฯ ฯลฯ

กาลเวลาผ่านไปสามวัน เราขับๆ รถอยู่ก็จะหันหลังไปทิ้งขยะในถังที่ตั้งไว้ด้านหลัง ไม่ได้เทขยะมาหลายวัน ถังเริ่มเต็ม เลยมีพวกเศษเปลือกลูกอมที่เราทิ้งไม่ลงถังหล่นเกลื่อนอยู่ที่พื้น กำลังจะหยิบมันมาใส่ถังก็เหลือบไปเห็นตัวอะไรลายๆ อยู่ที่พื้นที่วางเท้าหลังคนขับ โอ๊ะ... โอ... แมงมุมน้ำตาลลายดำ นอนนิ่งอยู่ ตัวใหญ่ขนาดนี้ มิน่าจับโดนแล้วมันดุกดิกนุ่มมือดีจัง (กึ๋ยๆ)

ตะแรกเราก็กลัวว่ามันจะคลานดึบๆ มาหาเรา แต่พอตอนหลังไปสำรวจใกล้ๆ มันหมดสภาพไปแล้วกลายเป็นแมงมุมทื่อๆ เหมือนโดนสตั้ฟ คาดว่ามันคงขาดอากาศหายใจ หรือไม่ก็หมดอายุขัย เคยได้ยินคนบอกว่าถ้ามียุงเข้ามาในรถ ไม่ต้องพยายามไล่มันออกไปจากรถหรือตบมันให้ตาย เพราะวงจรชีวิตมันสั้น ไม่กี่วันมันก็ตายไปเอง แมงมุมก็คงเหมือนกัน

พ่อแม่ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า

วันก่อนโน้นไปดูหนังกับพี่หมวยแล้วก็เลยได้คุยกัน ช่วงนี้เราสองคนต่างไม่มีมรสุมชีวิต ก็เลยได้คุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่สองสามที่เรื่องอยากเล่าเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องการเลี้ยงลูกหรือเลี้ยงเด็กสมัยนี้

ตอนนี้พี่หมวยนับถือคริสต์ และอาสาไปอยู่ในโครงการเกี่ยวกับเด็กๆ พี่หมวยบอกว่าได้อ่านหนังสือที่มีชื่อเรื่องประมาณว่า "พ่อไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า" เราแค่ฟังชื่อก็คิดว่าปิ๊งเลย เพราะเราเหนื่อยหน่ายใจกับกระแสการเลี้ยงดูลูกให้เป็นเทวดาของคน(ที่พอจะมีฐานะ)สมัยนี้เป็นอันมาก

ในหนังสือเขาก็จะแนะนำประมาณว่า พ่อแม่สมัยนี้ชอบคิดที่จะเตรียมทุกอย่างให้ลูก เลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก แต่ลืมนึกไปว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่ทำอะไรๆ ให้ลูกแบบนี้ ไปตลอดชีวิต สักวันหนึ่งพ่อแม่ตายไป เขาต้องเจอปัญหาด้วยตัวเขาเอง ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ถ้าเขาไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะรับกับสิ่งธรรมดาในชีวิต (คือปัญหาและความทุกข์ต่างๆ) เขาจะอยู่อย่างลำบาก

เราพยายามมองในมุมกลับว่า คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ที่สามารถหาอะไรต่ออะไรมาปรนเปรอลูกจนเรารับไม่ได้ (อยากได้อะไรก็ได้ แม้แต่อะไรที่มันยังไม่ทันคิดจะอยากได้ พ่อแม่ก็หามาประเคนให้แล้ว) อย่างน้อยเขาต้องเป็นคนที่สามารถดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี รู้จักแก้ปัญหาต่างๆ นานา จนสามารถตั้งตัวได้ เขาอาจจะรำลึกได้ว่า ที่ผ่านๆ มากว่าเขาจะตั้งตัวได้ ต้องทำงานหนัก ขาดโน่นขาดนี่ "ถ้า" มีเงินมากพอ "ถ้า" ได้มีการศึกษามากพอ "ถ้า" มี "กำลังใจ" มากพอ คงไม่เหนื่อยขนาดนี้ เขาก็เลยคิดว่า "ต้อง" เตรียมทุกๆ อย่างที่เขาเคยคิดว่าเขาขาดเอาไว้ให้ลูก ประมาณว่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง บางที่สิ่งที่ตัวเองเตรียมไว้ ไม่เห็นได้จำเป็นกับลูก หรือเป็นสิ่งที่ลูกต้องการเลยซักน้อย

และที่เรารู้สึกว่าไม่ชอบมากๆ ก็คือ คนส่วนใหญ่ดูจะสนใจที่จะเตรียมแต่ความพร้อมด้านวัตถุให้กับลูก เราว่าด้านจิตใจน่าจะสำคัญกว่า น่าจะพยายามสอนให้ลูกรู้จักเรียนรู้การใช้ชีวิต การแก้ปัญหา การยอมรับกับความผิดหวังหรือปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ (เพราะอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ไม่ใช่แก้ไม่ได้เพราะขี้เกียจใจไม่สู้) การเอาตัวรอดโดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฯลฯ

แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าที่เราคิดนี้มันถูกหรือผิดก็ตาม แต่ดูท่าว่าจะเป็นการคิดเรื่องที่ไกลตัวออกไปมากๆ การพยายามคิดหาวิธีแก้ปัญหาโลกร้อน (Global Warming) อาจจะมีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตเรามากกว่าการกังวลว่าจะเลี้ยงดูลูกยังไงซะอีก... เนอะ!

ลูกคนเล็กไม่รู้จักการจัดการ

เราบ่นกับพี่หมวยไปว่า ช่วงที่ผ่านมาถ้าเราได้ออกจากออฟฟิศก่อนสองทุ่มถือว่าวิเศษมาก เพราะเรามีงานค้างมาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ โดนด่าเป็นลายลักษณ์อักษร (คือทางอีเมล) ทั้งต่อหน้าและลับหลัง (ที่ลับหลังก็มีคนหวังดี ฟอร์เวิร์ดมาให้อ่าน) ถามว่าเครียดไหม ก็เครียดเหมือนกัน ในแง่ที่ว่า เราก็อยากจะทำให้เสร็จเหมือนกัน แต่ทำไม่ไหวจริงๆ แต่ไม่ได้เครียดขนาดทนไม่ได้ และจริงๆ แล้วความเครียดยังน้อยกว่าความเหนื่อยหน่ายมากนัก

พี่หมวยก็ถามว่า ทำไมเราต้องทำงานหนักขนาดนั้น เราก็บอกว่าที่จริงเราไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ แต่เราไม่มีความสามารถเอง ไม่สามารถบริหารจัดการให้คนอื่นๆ ทำงานให้เราได้ เราทำเองได้เร็วกว่า และเราไม่สามารถไปบี้งานคนอื่นได้ ทำให้เวลาแจกงานคนอื่นไป กลายเป็นภาระสองเท่าสำหรับงานหนึ่งงาน (ภาระแรกคือบี้ให้งานเสร็จ สองคือตรวจความถูกต้อง)

ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดปัญหาแบบง่ายๆ มีงานอะไรมาเราก็ทำเองซะเป็นส่วนใหญ่ ถึงจะผิดหลักการและหน้าที่เราควรจะทำไปมากๆ แต่เราไม่สน เพราะเราไม่ได้มีกระจิตกระใจจะสนใจว่าคนอื่นๆ (นาย, Project Manager, Mechanical Leader ฯลฯ) เขาจะคิดยังไง เราคิดแต่ว่า เราทำได้แค่นี้ ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว (ไม่มี Self Motivation เพราะฉะนั้นคนอื่นอย่ามาหวังจะแก้ไขเรา)

พี่หมวยเลยบอกว่า เป็นน้องคนเล็กก็แบบนี้แหละ จัดการคนอื่นไม่ค่อยได้ พี่หมวยเจอมาหลายคนแล้วที่เป็นลูกคนเล็กเนี่ย ทำงานเองก็ทำได้ดีแต่ให้บริหารคนอื่นจะทำไม่ค่อยได้ เราคิดแล้วก็ชักจะเห็นด้วย เทียบตัวเรากับแม่ไอโกะเนี่ย แม่ไอโกะจัดการให้คนอื่นทำงานเรื่องโน้นเรื่องนี้แทนให้ได้ดีกว่าเราเยอะ ในขณะที่เราไม่มีความสามารถในที่จะทำให้คนอื่นทำอะไรๆ ให้เราเลย นอกจากจะเกิดจากความเอ็นดู สงสาร เห็นใจ หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ก็มันเป็นน้องคนเล็ก) แต่ในที่ทำงานใครเขาใช้ความเอ็นดู สงสาร เห็นใจกันเล่า...

สรุปว่าที่เขียนมานี้ จะบอกว่าไม่ใช่ว่าเราห่วยเองที่ไม่สามารถบริหารงานได้ แต่เราโชคร้ายที่เกิดมาเป็นน้องคนเล็กตะหาก

สูงสุด-ตกต่ำ

ตอนนี้ป้าเบิร์ด เอ้ย พี่เบิร์ดออกเทปชุดใหม่ (ชื่อชุด อมพระมาพูด หรือเปล่า? ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่ามีเพลงชื่อนี้ออกมาโปรโมทเป็นเพลงแรกๆ) เป็นการออกผลงานร่วมกับเสก โลโซ ประมาณว่าพี่เบิร์ดอยากมา "ร็อค" กับเสก

สังเกตว่าหลังๆ นี้ พี่แกจะทำเทปเหมือนเป็นการทำเฉพาะกิจ คือ ถ้าไม่เอาเพลงเก่ามาร้องใหม่ (ที่เขาเรียกว่า cover อ่ะนะ) ก็จะไปออกเทปร่วมกับคนอื่น (ชุดที่แล้วมี 3 สาว อย่าง จินตรา พูลลาภ, แคทรียา อิงลิช, นัท มีเรีย) ประมาณว่าระดับพี่เบิร์ดทำเทปธรรมดาไม่ได้แล้ว ถ้าไม่พิเศษจริงๆ พี่เบิร์ดอยู่เฉยๆ ดีกว่า

แต่แม่เรากลับมีมุมมองแปลกๆ ว่าที่เบิร์ดต้องไปร้องเพลงกับคนอื่นๆ เพราะเดี๋ยวนี้ลำพังตัวเบิร์ดเองคนเดียว ไม่สามารถสร้างยอดขายกระหึ่มได้แล้ว ก็เลยต้องอาศัยออกอัลบั้มร่วมกับนักร้องคนอื่นๆ อย่างชุดที่แล้วก็กลายเป็นว่าแฟนของจินตรา พูลลาภก็มาอุดหนุนเทปพี่เบิร์ดไปด้วย ทำให้พี่เบิร์ดไปขายในตลาดหมอลำได้อีก

สำหรับชุดล่าสุดที่ได้ยินว่าเป็นร็อคนี้ เราได้ฟังเพลงอมพระมาพูดแวบๆ ตรงท่อนคอรัส ไม่สามารถจะวิจารณ์อะไรได้ แต่ได้ไปอ่านในพันธุ์ทิพย์ มีคนบอกว่า ไดัฟังเบิร์ดร้องเพลงชุดนี้ แล้วอยากจะเข้าไปกระโดดเตะก้านคอ (หรืออะไรทำนองเนี้ย) ประมาณว่าหมั่นไส้มาก เพราะทำสุ้มทำเสียงเหมือนเสก โลโซมากเกิดเหตุ

เมื่อวันก่อนเปิดรายการสมาคมชมดาว ก็เห็นป้าเบิร์ดกำลังร้องเพลง เสกเล่นกีตาร์ เราก็ทนดูจนจบไม่ได้ เพราะป้าแกลอยหน้าลอยตา ทำเสียงร้องดัดจริตประมาณจะเป็นแนวร็อคไปด้วยเบิร์ดไปด้วย เริ่มคิดว่าเบิร์ดถึงจุดตกต่ำแล้วจริงๆ จึงต้องทำถึงขนาดนี้

เงินเหรียญขาดตลาด

มติชนสัปดาห์นี้บอกว่า เดี๋ยวนี้เงินเหรียญในตลาดมีไม่พอใช้ ตามตลาดต่างๆ ถึงกับมีการตั้งโต๊ะรับแลกเหรียญ เพราะพ่อค้าแม่ค้าไม่มีเงินเหรียญจะทอน แลกกันแบบคนมาแลกขาดทุน คือ ร้อยหนึ่งแลกได้ ๙๗-๙๘ บาท ก็ยังมีเหรียญให้ไม่พอแลก กองกษาปณ์เขาทำเหรียญเพิ่มยังไงก็ไม่พอใช้ สุดท้ายต้องทำการสำรวจวิจัย ก็ได้ความว่า เหรียญขาดตลาดเพราะผู้ชายขาดความรับผิดชอบ

คือพวกผู้ชายเนี่ย ชอบใช้แบ็งค์ พอได้เงินทอนเป็นเหรียญๆ มาก็เอากลับบ้าน กองไว้ใส่กระป๋องไว้ ฯลฯ แล้วก็ไม่เอาออกมาใช้ ผลิตเหรียญออกมามากเท่าไหร่ ก็หายไปเป็นกองเหรียญตามบ้านต่างๆ ที่บอกว่า ผู้ชายขาดความรับผิดชอบก็เพราะไม่ใช่แต่เฉพาะเหรียญเท่านั้น แต่แบ็งค์ย่อยๆ ผู้ชายก็ไม่ค่อยชอบใช้ ใช้แต่แบ็งค์ใหญ่ที่ต้องทอน เพราะว่าเวลาใช้เหรียญหรือใช้แบ็งค์ปลีก "ภาระ" อยู่ที่คนใช้ ต้องคอยนับให้ครบก่อนจ่าย แต่ถ้าใช้แบ็งค์ใหญ่ "ภาระ" อยู่ที่คนรับ ที่ต้องคิดคำนวณ ต้องนับเงินทอนคืน

เขาสรุปออกมาว่าจะทำให้เงินเหรียญพอใช้ในตลาด ไม่ใช่แค่คำนวณการหมุนเวียนเงินในตลาด แต่ต้องรวมไปถึงการรณรงค์ให้ผู้ชายรู้จักรับผิดชอบ ไม่ใช่เอาแต่คอยผลักภาระให้คนอื่นอยู่ร่ำไป