ไปทำงานที่อิรักดีกว่า
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทเราค่อนข้างจะงานน้อย เพราะพลาดการประมูลโปรเจ็คต์นิวเคลียร์ (ซึ่งถ้าได้จะใช้คนมหาศาล เพราะงานเอกสารเยอะมากๆ) ก็เลยมีการปลดคนออก มีการบังคับให้คนไปทำงานโน่นนี่ ที่ไม่อยากทำ คนที่ทนไม่ได้ลาออกไปก็เยอะ คนที่เหลืออยู่ก็รอลุ้นเมื่อไหร่จะมีโปรเจ็คต์ใหม่ๆ เข้ามาซะที หน้าที่การงานจะได้ไม่สั่นคลอนมากนัก

ที่พูดนี่หมายถึงคนที่เมืองนอกนะ แต่ที่เมืองไทยค่อนข้างจะปลอดภัย เพราะ“บิ๊กๆ บอส” เขากำหนดกันมาว่าต้องส่งงานให้เมืองไทยทำ ๓๐–๗๐ % ของจำนวนชั่วโมงที่แต่ละโปรเจ็คต์จะใช้ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่พนักงานของไทยมีน้อยกว่าเมืองนอกเป็นครึ่งเป็นค่อน ทำให้พวกเรามีงานทำแน่นเกือบตลอดเวลา

เช้าวันนี้มีอีเมล “ทอล์คออฟดิออฟฟิซ” เล็กๆ ส่งมาจากบิ๊กบอสของ Corporation ว่ามีตำแหน่งงานว่างที่ไซต์ก่อสร้างในอิรัก เพราะบริษัทไปได้โปรเจ็คต์ฟื้นฟูพวกสาธารณูปโภคพื้นฐานในอิรัก โปรเจ็คต์ยังไม่เริ่มก่อสร้าง แต่ก็เจรจาเซ็นสัญญากันไปมั่งแล้ว เขาก็เลยต้องเริ่มมองหาคนจะไปทำงาน

ปกติพวกอเมริกันที่บริษัทเรานี่ แค่ให้ไปทำงานโอเวอร์ซีส์ก็ไม่ค่อยจะมีใครอาสาแล้ว (อย่างตอนจะหาคนมาทำงานเมืองไทย ประกาศรับสมัครตั้งนาน ไม่มีคนยอมมา แต่ขอโทษเถอะ คนที่เคยมาเมืองไทย ไม่มีใครอยากกลับซักคน ที่ต้องกลับพอมีโอกาสก็ขอมาใหม่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะได้ภรรยาไทยกลับไปนั่นเอง อุอุอุ) เดาเอาว่าเป็นนิสัยของคนมิดเวสต์ทั่วๆ ไป ไม่เคยออกนอกประเทศและไม่คิดจะออก อาจจะคิดว่าลำบากกันดาร อาจจะติดปัญหาครอบครัว หรืออาจจะแค่ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงหรืออะไรก็ตามที แต่โครงการใหม่นี้ ต้องไปทำงานที่อิรัก คาดว่าคนสมัครคงจะอุ่นหนาฝาคั่งเป็นอันมาก (ประชด) ก็ขนาดภาพที่คนไทยมอง ก็ยังรู้สึกเหมือนโดนส่งไปสมรภูมิรบ เราว่าพวกฝรั่งเขาคงคิดว่านี่เราจะกลัวตกงานจนต้องเลือกจะไปอิรักหรือเปล่า

อีเมล์ที่เขาส่งมาก็โน้มน้าวปนปลอบประโลมนะ บอกว่าบริษัทสนใจเรื่องความปลอดภัยของพนักงานเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้นคนที่ไปจะได้รับการอบรมพิเศษ (วิธีหลบลูกกระสุน เทคนิคการสังเกตกับระเบิด การหลบเลี่ยงจากการถูกจับเป็นตัวประกัน) มีอุปกรณ์ป้องกันตัวเองให้พร้อม (เสื้อกันกระสุน ปืนกล ระเบิดมือ) นอกจากนี้บริษัทยังติดต่อใกล้ชิดกับบริษัทต่างๆ ที่ทำงานอยู่ที่อิรักเพื่อหาข้อมูลและบทเรียนต่างๆ เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยที่บริษัทเหล่านั้นใช้อยู่ ซึ่งเหล่านี้มีความจำเป็นและมีประโยชน์กับพนักงาน (ในการรักษาชีวิต) ในการระหว่างการทำงานที่อิรัก (หมายเหตุ: คำพูดในวงเล็บนี่เราเพิ่มเข้าไปเอง)

เขาบอกว่าถ้าใครสนใจก็ให้ตอบอีเมลไป พร้อมกับ Resume ถ้าคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการ เขาจะส่งข้อมูลเพิ่มเติมมาให้ แต่ตามสไตล์อเมริกัน ก็ต้องมีการบอกว่าการบอกว่าสนใจในตำแหน่งที่อิรัก ไม่ได้เป็นการผูกมัดว่าจะไปทำงานจริงๆ (คงกลัวไม่มีคนแสดงความสนใจด้วยมั้ง)

เราอ่านอีเมลแล้วก็คิดว่าน่าสนใจเหมือนกันนะเนี่ย นี่ถ้าไม่ติดว่ามันมีข่าวโครมๆ เรื่องการจับชาวต่างชาติเป็นตัวประกัน เราคงสมัครไปแน่ๆ เพราะกำลังจิตตก และต้องการการเปลี่ยนแปลงในชีวิตอยู่พอดี (ปิฯแนะนำให้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ หรือไม่เคยคิดว่าจะทำ ไปทำงานที่อิรักนี่จัดให้อยู่อันดับหนึ่งได้เลยนะเนี่ย) แต่ก็ว่าจะลองส่งอีเมล์ไปขอข้อมูลดูอยู่เหมือนกัน เพราะคิดว่าถ้าไปทำงานนี้และรอดชีวิตกลับมาได้ คงเป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของชีวิตที่น้อยคนจะได้สัมผัส

ประสบการณ์ต่างประเทศ

พอพูดเรื่องทำงานที่อิรัก นึกถึงเพื่อนร่วมงานสมัยที่เราไปทำงานที่อเมริกา เขาทำอยู่แผนก Performance Test แต่ก่อนหน้านั้นเขาทำงานไซต์มาเยอะ เขาเล่าให้ฟังว่าเคยอยู่ไซต์ที่ปากีสถาน เดินไปตามถนนนี่ พวกทหารถือปืนอาก้าเดินไปเดินมากันว่อน คนที่นั่นไม่ค่อยชอบคนอเมริกัน พอไปซื้อของตามร้านค้า เจอพ่อค้าชวนคุยเขาก็เลยโกหกว่า ผมเป็นชาวแคนาดา

ปรากฎว่าช่วงนั้นแคนาดามีการเลือกตั้ง พ่อค้าปากีฯก็ดันติดตามการเมืองต่างประเทศซะอีก ก็ชวนเพื่อนร่วมงานเราคุย วิพากย์วิจารณ์การเลือกตั้ง เพื่อนร่วมงานเราก็ดันเป็น Typical American ไม่ค่อยสนใจเรื่องของชาวโลก ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ต้องเออๆ คับๆ พยายามรีบตัดบทสนทนา รอดตัวมาได้อย่างหวุดหวิด

เพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งก็เป็น National Reserve (ประมาณทหารเกณฑ์ที่มีรายชื่อเป็นกองกำลังสำรองของบ้านเราหรือเปล่า) ประมาณว่า วันดีคืนดี (หรือวันร้ายคืนร้าย) ประเทศชาติมีภาระกิจต้องการกำลัง เขาส่งจดหมายเรียกมา ก็ต้องไปปฏิบัติภาระกิจ เมื่อสองปีที่แล้วเขาถูกเรียกตัวและส่งไปทำงานที่ตะวันออกกลาง เป็นการส่งไปแบบลับๆ คือติดต่อกับญาติมิตรครอบครัวได้ แต่บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร

เขาไปทำงานพวกกิจกรรมทั่วๆ ไปที่ไม่เกี่ยวกับการรบ อย่างขับรถส่งเสบียง ซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ว่างๆ ก็ส่งอีเมลหาครอบครัวเป็นรหัสลับบอกใบ้ว่า อยู่แถบไหนประเทศไหน เขาบอกว่าทหารอเมริกันส่วนใหญ่ ไม่ค่อยตายในการรบ แต่จะตายด้วยอะไรโง่ๆ เช่น ซ่อมรถแล้วถังน้ำมันระเบิด หรือไฟช็อต ขับรถบรรทุกชน อุบัติเหตุจากการทำงาน มากกว่า

อันนี้เป็นเรื่องเล่าเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปยังไง เราก็ไม่รู้ได้ แต่เพื่อนร่วมงานคนนี้ของเราคนนี้ทำงานอยู่ที่ตะวันออกกลางประมาณ ๙ เดือน แล้วก็กลับอเมริกาโดยสวัสดิภาพ ตอนนี้ก็กลับไปทำงานน่าเบื่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนกับก่อนหน้านี้