คนเก่า... ๒
(...ต่อจากตอนที่แล้ว)

กรณีที่สองนี่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เอ.. หรือจะเรียกว่าเกิดขึ้นนานแล้วดีหว่า... คราวนี้เป็นเรื่องของพี่ B แผนกไฟฟ้า เขาเป็นวิศวกรซีเนียร์ที่ลาออกไปเรียนต่อ MBA ตอนช่วงที่เศรษฐกิจไทยโดนพิษต้มยำกุ้ง พอเรียนจบกลับมาประมาณก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทที่เล่าไปแล้วซักพักใหญ่ ตอนนั้นแผนกไฟฟ้าเขามองล่วงหน้าว่างานจะเยอะ หัวหน้าใหญ่ก็บอกว่าน่าจะลองเรียกพี่ B กลับมาทำงาน พี่ C ที่เป็นหัวหน้าแผนกไฟฟ้าซึ่งเรียนรุ่นเดียวกับพี่ B มาตั้งกะประถม–มัธยม–มหาลัย ก็ไปคุย

พี่ B บอกว่าเขาไม่อยากทำงาน Engineering แล้วหละ อยากไปทำพวกบริหารหรือการเงินมากกว่า ประมาณว่าจะเอาวุฒิ MBA สมัครงานอ่ะนะ พี่ B หางานอยู่พักใหญ่ก็หาไม่ได้ พอดีบริษัทมีโปรเจ็คต์กำลังจะเริ่ม ก็ว่าจะส่งซีเนียร์ไปที่อเมริกาประมาณ ๓–ู๖ เดือน ให้ไป Kick Off โปรเจ็คต์ที่จะเริ่มพร้อมๆ กับ Coordinate งานของโปรเจ็คต์อื่นๆ ที่คาดว่าจะส่งมาทำที่ไทย พี่ C ก็เลยไปเจรจาอีกรอบหนึ่ง ประมาณว่าถึงแม้จะต้องทำงาน Engineering แต่ก็เป็นระดับ (Middle) Management แล้วก็จะได้ไปอเมริกาด้วย พี่ B ก็เลยยอมกลับมาทำงาน

พี่ B มาทำงานได้แค่ ๒ หรือ ๓ วันไม่รู้ แล้วเช้าวันหนึ่งก็มาพิมพ์ใบลาออกทิ้งไว้ก่อนที่คนอื่นๆ จะมาทำงาน พี่ C ที่เป็นเพื่อนกันก็โทรไปคุย ถามไถ่ก็ได้ความว่า พี่ B บอกว่า กลับมาทำแล้วก็ไม่ชอบอยู่ดี ไม่ทำดีกว่า เราฟังแล้วก็งงๆ อายุขนาดนี้แล้วนะเฟ้ย (เขาน่าจะแก่กว่าเราซัก ๔-๕ ปีได้) ทำตัวเป็นเล่นขายของไปได้ นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป

เราได้ข่าวแบบไม่คอนเฟิร์มมาว่า มีหลายๆ อย่างไม่เป็นไปตามประสงค์ของพี่ B คือ อย่างแรกที่จะไปอเมริกา เขาจะเอาแฟน (ที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ประมาณว่าวางแผนว่าจะแต่ง) ไปด้วย แต่บริษัทบอกว่าไปก็ได้ แต่พี่ B ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง และจะต้องอยู่ห้องเดียวกับพี่ B (ปกติบริษัทเราส่งคนไทยไปอเมริกา จะไม่ให้เอา Spouse ไป และเขาจะให้แชร์อพาร์ตเมนต์กัน คือ สองสามคนอยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกัน แต่ละคนมีห้องนอนต่างหาก แต่แชร์ห้องนั่งเล่น แชร์ครัวกัน – ซึ่งไม่ค่อยยุติธรรม เพราะเวลาส่งฝรั่งมาไทย เช่าห้องพักให้ต่างหาก ประมาณเป็นคอนโด ไม่ต้องแชร์กับใคร) พี่ B อยากอยู่อพาร์ตเมนต์คนเดียว (คือไม่ต้องแชร์กับพนักงานคนอื่น แต่จะอยู่สองคนกับแฟน)

พี่ B เขาคิดว่าสมัยก่อนบริษัทก็เคยให้คนที่แต่งงานแล้วอยู่อพาร์ตเมนต์คนเดียว ก็น่าจะยอมให้เขาได้ แต่ตอนนั้นจำนวนคนไทยที่ไปมันไม่ลงตัว จะต้องมีคนที่ได้อยู่คนเดียว เขาก็เลยเลือกให้คนที่แต่งงานแล้ว (และอาวุโสกว่าใครเพื่อน) ได้อยู่คนเดียว เรื่องไปอเมริกาก็เลยเป็นอันตกลงกันไม่ค่อยราบรื่น

อีกอันหนึ่งก็คือ ช่วงสัปดาห์ที่พี่ B มาเริ่มงาน เขายังไม่มีงานทำ (ก็เป็นปกติของคนเริ่มงานวันแรกๆ เป็นเวลาปรับตัว ให้เวลาคนอื่นจัดการให้เข้าที่เข้าทาง) แต่พอดีพี่ ข (ยังจำเธอได้ไหม... "อดีต" หัวหน้าเราไง) เขามีงานเร่ง (ที่จริงก็ไม่เห็นเร่งเท่าไหร่ในสายตาคนอื่นๆ แต่พี่แกจะเอาให้ได้อ่ะ งานของแกต้องเสร็จก่อนใครอื่น) มันเป็นงานไร้สมองและไม่สังกัดแผนก คืองานคีย์ข้อมูลเข้าฐานข้อมูล ใครคีย์ก็ได้ พวกเราเรียกงานนี้ว่า "จอฟ้า" (ภายหลังเราต่อสร้อยให้ด้วยว่า มหาภัย) เพราะหน้าจอที่คีย์ข้อมูลมันจะสีฟ้า ช่วงนั้นพี่ ข เห็นใครว่างไม่ได้ จะเกณฑ์ให้มาทำงานให้แกหมด มองไปรอบๆ นี่เห็นเปิด "จอฟ้า" เต็มออฟฟิศ

พอพี่ ข เห็นพี่ B มาเริ่มงานแล้วว่างๆ ก็จัดการไปพูดกับพี่ C ว่าจะเอาพี่ B มาช่วยทำจอฟ้า เออ... ลืมบอกไปว่าพี่ ข นี่เขารุ่นเดียวกับพี่ B พี่ C พี่ นะ จบปริญญาตรีมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันเลย แต่อย่าให้บอกเลยว่าที่ไหน พี่ C ก็เป็นคนง่ายๆ และเห็นว่าพี่ ข เป็นผู้หญิงก็ตามใจไม่ว่าอะไร แต่พี่ B เขาไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่ใช่คนเอะอะโวยวาย แต่ไม่ยอมคนและไม่ค่อยมีความอดทนกับเรื่องที่ไม่ชอบ (ประมาณว่า อายุสูง–ไอคิวสูง–แต่อีคิว??) มีคนบอกว่า พอพี่ B ทำจอฟ้าได้สองวันก็ทนไม่ไหว เลยมาเขียนใบลาออกแล้วก็ไปแบบไม่ล่ำไม่ลาใคร (สมควรที่เราต่อสร้อยว่า จอฟ้ามหาภัย ไหมล่ะ)

แค่เรื่องคนอายุสามสิบกว่า ตัดสินใจกลับมาทำงานในบริษัทที่ตัวเองเคยทำมาก่อน ทำได้แค่สามสี่วันแล้วลาออก เราก็คิดว่ามันเหลือเชื่อแล้ว (คิดอะไร? ไม่ใช่ว่าสมัครงานในสายที่เราไม่เคยทำซะเมื่อไหร่ ถึงจะได้บอกได้ว่าคาดการณ์ผิด งานไม่ตรงกับที่คิดไว้ มันพูดไม่ได้นะ เคยทำมาแล้วตั้งหลายปี) แต่มันมีตอนต่ออีก คือเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราได้ยินชื่อพี่ B กลับเข้ามาในสารบบ ประมาณว่าหัวหน้าของแผนกไฟฟ้าเป็นฝรั่ง (หัวหน้าพี่ C ที่เป็นคนไทยอีกที) เขาอยากจะเรียกให้พี่ B กลับมาทำงานอีก

เราอ่าน (อีเมล์) แล้วก็ร้อง ฮะ! (ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น) ครือว่าหัวหน้าของพี่ C ก็น่าจะรู้เรื่องราวที่พี่ B มาทำงานได้แค่สองสามวันแล้วลาออก (สร้างสถิติมาทำงานสั้นที่สุดที่ยังไม่มีใครทำลายได้) แล้วยังกล้าเรียกเขากลับมาอีกได้ไง พวกเราวิเคราะห์กันว่าน่าจะเป็นไอเดียของพี่ C ที่อยากได้เพื่อนกลับมาทำงานด้วย แต่นายใหญ่ที่สุดของวิศวกร (ฝรั่งเหมือนกัน) เขาไม่ยอม บอกว่า He's burnt the bridge ประมาณตัดสัมพันธ์ไปแล้วต่อไม่ติด พวกเราฟังแล้วก็ว่า เออ... อย่างน้อยพลาดแล้วก็ยังจำ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวใหม่ว่าพี่ B จะกลับมาทำงาน เราก็นึกว่ามุข แต่ถามไปถามมาก็พบว่าเป็นความจริง เราก็อึ้งทึ่งตะลึงอีก สอบถามก็ได้ความว่า ช่วงนี้แผนกไฟฟ้าขาดคนอย่างหนัก เพราะเขาส่งคนไปอเมริกา ๓ คน แล้วก็มีงานมาเยอะมากจนต้องรับคนเพิ่ม (นี่ก็เรื่องแปลกอีกอันหนึ่งที่เราไม่เข้าใจ – ส่งคนไปอเมริกา ส่งงานมากรุงเทพฯ แล้วเมื่อไหร่งานมันจะเจอกับคนล่ะเนี่ย) พี่ C ก็บอกว่าให้เอาพี่ B กลับมาทำดีกว่า เพราะเป็นงานแล้วไม่ต้องเสียเวลาสอน แล้วเขาก็ไปคุยกับพี่ B จนพี่ B ยอมกลับมาและรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบเดิม

เราไม่เข้าใจว่าแต่ละคนเขาคิดอะไรกัน แต่ละคนกล้าๆ กันทั้งนั้น พี่ C ใจกล้ามากที่ไปรับประกันพี่ B เราว่าตอนนี้พี่ C เอาคอไปวางบนเขียงเรียบร้อยแล้ว ถ้าพี่ B ลาออกเป็นคำรบสาม พี่ C คอขาดแหงๆ พี่ B ก็กล้าเหมือนกัน คราวที่แล้วออกไปแบบไม่ไว้หน้า ไม่ใส่ใจใคร คราวนี้ยังกล้ากลับมาอีก (หรือว่า Desperate สุดๆ?) ส่วนหัวหน้าใหญ่ก็กล้าเหมือนกัน (หรือว่าบ้ากันแน่) กล้ารับคนบุคลิกกลับไปกลับมาแบบนี้เข้ามาทำงานได้ไง แต่ละคนสมควรได้เหรียญกล้าหาญกันทั้งนั้นไหมเนี่ย

พวกพี่ๆ ที่แผนกเราบ่นงงกันตรึมว่า หาคนอื่นไม่ได้อีกแล้วหรือไง หรือว่าพี่ B เขาเก่งขนาดต้องง้อกลับเข้ามาทำงานถึงสองรอบสามรอบ ด้วยความที่เราคิดว่างานที่เราทำมันไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น ก็เลยสรุปว่ามันไม่เกี่ยวกับความเก่งไม่เก่ง บริษัทนี้เขาไม่ได้ชอบ "คนเก่ง" แต่ชอบ "คนเก่า" ตะหาก

พี่ B จะมาเริ่มงานอาทิตย์หน้า มีคนพูดเล่นว่าลองพนันกันดีกว่าว่าพี่ B จะส่งใบลาออกวันไหน แต่มีคนวิเคราะห์ว่าน่าจะอยู่นาน เพราะถ้าไปคราวนี้ไปทีเดียวสอง ก็ต้องคอยดูต่อไปว่าพี่ C ที่เรียนกับพี่ B มาตั้งแต่เด็กจะดูเพื่อนผิดหรือเปล่า